คลิกเลือกไปหน้าแรก
ชาวสวน'92เข้าสูระบบ
คลิกดูกำหนดการได้ที่วันที่ในปฏิทิน
ธันวาคม - 2567
พฤ
อา
25
26
27
28
29
30
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
1
2
3
4
5
 

@คณะกรรมการชมรม
@ตัวแทน/ผู้ประสานงาน
@วิสัยทัศน์ ค่านิยม ยุทธศาสตร์
@ระเบียบการบริหารงาน
@ระเบียบว่าด้วยเงิน
@รักรุ่นจริงไม่ทิ้งกัน
@บัญชีสถานะการเงิน
@เพลงสวน

คลิกเพื่อเลือกชมและบันทึกข้อความ
คลิกเพื่อดูหรือ post ข่าว
 คลิกเพื่อดูหรือ post จดหมายเวียน
คลิกเพื่อดูหรือ post กำหนดการทำบุญบริจาคโลหิต
คลิกเพื่อดูหรือ post เข้าบอร์ดเพื่อนช่วยเพื่อน
คลิกเพื่อดูหรือ post รายละเอียดธุรกิจของเพื่อน
คลิกเพื่อดูหรือ post คลิปโดนๆของชาวสวน 96
คลิกเพื่อดูหรือ post ภาพกิจกรรมของชาวสวน 96
คลิกเพื่อฝากข่าวสารถึงท่านประธาน
คลิกเพื่อฝากข่าวสารถึง webmaster
คลิกเพื่อดูหรือ postข่าวสารทางวิชาการจากสวน 96
คลิกเพื่อดูหรือ postคำคม,ปรัชญาชีวิต
คลิกเพื่อดูหรือ postเรื่องซุบซิบนินทา
คลิกเพื่อดูหรือ postเรื่องของครอบครัวสวน  96
คลิกเพื่อดูหรือ postเรื่องสันทนาการ

  คลิกเพื่อลิ้งค์ไปสู่หน้าเวปสวนกุหลาบ
  คลิกเพื่อลิ้งค์ไปสู่หน้าเวป OSKNETWORK


หัวข้อ :ผู้รู้ดีเป็นผู้เจริญ ผู้รู้ชั่วเป็นผู้เสื่อม   [ No. 149 ]  
รายละเอียด :
ธรรมะฮาวทู (6) อยากฉิบหายเชิญทางนี้

คอลัมน์ รื่นร่ม รมเยศ

โดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

เขียนทางแห่งความสุขความเจริญ ตามนัยพระพุทธศาสนามาหลายตอนแล้ว วันนี้ขอว่าด้วยทางแห่งความเสื่อม เพื่อเตือนสติไว้ ไม่มัวหลงระเริง ทุกอย่างจะมีแต่ขาขึ้นอย่างเดียว ไม่มีขาลง ย่อมเป็นไปไม่ได้ มีขึ้นแล้วย่อมมีลง และเวลามันลงมันไม่ค่อยๆ ลงเหมือนลงบันไดเสียด้วย ลิ่วๆ ยิ่งกว่าลงลิฟต์ ถ้าไม่เตรียมกายเตรียมใจไว้บ้างจะลำบาก

มีพระสูตรชื่อ ปราภวสูตร ใน สุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย สุตตนิบาต พระไตรปิฎก เล่ม 25 ข้อ 303 ว่าด้วยความเสื่อม หรือความฉิบหาย 13 ประการ น่าสนใจมากครับ

พระสูตรนี้ตรัสที่พระเชตวันวิหาร ตอบคำถามเทวดาที่มาทูลถาม พระพุทธเจ้าตรัสว่า

(1) ผู้รู้ดีเป็นผู้เจริญ ผู้รู้ชั่วเป็นผู้เสื่อม ผู้ชอบธรรม (ความถูกต้องดีงาม) เป็นผู้เจริญ ผู้ชังธรรมเป็นผู้เสื่อม นี้เป็นความเสื่อมประการที่ 1

ข้อนี้หมายถึงผู้ที่รู้ดี รู้ถูกต้อง ย่อมจะเจริญก้าวหน้า ส่วนผู้ที่รู้ไม่ดี คือรู้บ้างไม่รู้บ้าง หรือไม่รู้แต่แสดงว่าตนรู้ คนอื่นโง่หมด ประเภทหลังนี้ย่อมเสื่อม ผู้ที่ชอบความถูกต้องยุติธรรม ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น รวมไปถึงไม่สนับสนุนให้มีการผิดกฎหมายและศีลธรรมย่อมเจริญ ตรงกันข้าม ย่อมฉิบหายแน่นอน

(2) คนที่ไม่เป็นที่รักของสัตบุรุษ (คนดี) คนที่ไม่รักสัตบุรุษ คนที่ชอบธรรม ของอสัตบุรุษมีแต่ทางเสื่อม นี้เป็นความเสื่อมประการที่ 2

ข้อนี้หมายถึงคนที่ถูกวิญญูชนผู้เป็นหลักของสังคมแนะนำตักเตือน ไม่ชอบ กลับไปชอบคนประจบสอพลอ เลียแข้งเลียขา ร้อยทั้งร้อยเสื่อมครับ ไม่ว่าจะมีอำนาจวาสนาแค่ไหนก็ตาม ประวัติศาสตร์จีนเล่าว่าประเทศมักจะล่มจมเพราะพวกขันทีสอพลอเป็นส่วนมาก

(3) ชอบนอน ชอบคุย ไม่หมั่นขยัน เกียจคร้าน มักโกรธ นี้เป็นความเสื่อมประการที่ 3

คนเกียจคร้าน ไม่ขยันทำมาหาเลี้ยงชีพ เป็นทางเสื่อมเห็นๆ อยู่ ดังพุทธภาษิตในที่หนึ่งว่า "เกาะขอนน้อย ลอยคอกลางมหาสมุทร ในที่สุดจะจมน้ำตาย แม้มีทรัพย์สินมากมาย ถ้าเกียจคร้าน ในที่สุดก็จะล่มจมเช่นกัน"

น่าสังเกตว่า พระพุทธองค์จัดคนขี้โมโหโทโสในกลุ่มนี้ด้วย ลองพิจารณาดีๆ จะเห็นว่า คนที่ระงับอารมณ์ไม่ค่อยอยู่ แสดงอารมณ์ความหงุดหงิดตลอดเวลา ยิ่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ มักเป็นที่ดูหมิ่นของวิญญูชน เพราะฉะนั้นท่านจึงกล่าวว่า "ยิ่งเป็นใหญ่ ยิ่งต้องอดทน เพราะความอดทนเป็นอาภรณ์ของผู้มีปัญญา"

(4) คนที่สามารถแต่ไม่เลี้ยงบิดามารดาผู้แก่เฒ่า นี้เป็นความเสื่อมประการที่ 4

พ่อแม่ผู้มีพระคุณ เขายังไม่เห็นคุณ ไม่เลี้ยงดูพ่อแม่ อย่าหวังว่าจะเลี้ยงดูคนอื่น ใครพบเห็นคนเช่นนี้ ให้หลีกให้ห่างไกล

(5) คนที่โกหกสมณพราหมณ์หรือวณิพก (พูดโกหกว่าไม่มี เพราะไม่อยากให้ทาน) นี้เป็นความเสื่อมประการที่ 5

คนที่โกหกมดเท็จ หรือพูดไม่จริง หาความเจริญยาก เมื่อเช้านี้พูดอยู่หยกๆ อย่างนี้ ครั้งมีคนวิพากษ์วิจารณ์ ก็พูดหน้าตาเฉยว่า ฉันไม่ได้พูด สื่อไปลงข่าวกันเอง

มีพุทธภาษิตบทหนึ่งว่า "นตฺถิ ปาปํ อการิยํ = คนที่พูดเท็จ ไม่มีความชั่วใดที่ทำไม่ได้"

แปลแล้วไม่ถึงใจ ผมแปลใหม่ว่า "ไม่มีความระยำใด ที่คนชอบโกหกทำไม่ได้"

(6) คนมีทรัพย์มาก มีเงินทอง มีอาหารกิน กินของอร่อยแต่ผู้เดียว ไม่แบ่งปันคนอื่นนี้เป็นความเสื่อมประการที่ 6

มีเงินเป็นร้อยล้านพันล้าน บางทีก็มีไม่มากจริง แต่ไปกู้ธนาคารมา ไม่แบ่งปันคนอื่นยังพอทำเนา ยังคิดจะฮุบเอาสมบัติที่เขาสร้างมาด้วยชอบธรรม ตามวัฒนธรรมของยุคบริโภคนิยมแบบปลาใหญ่กินปลาเล็ก ไม่เสื่อมเมื่อนี้แล้วจะเสื่อมเมื่อไหนครับ อยากรู้เหมือนกัน

(7) คนหยิ่งเพราะชาติ หยิ่งเพราะทรัพย์ หยิ่งเพราะโคตร ดูหมิ่นกระทั่งญาติของตน นี้เป็นความเสื่อมประการที่ 7

คนตระกูลสูงเป็นหลักเป็นฐาน หรือไม่สูงแต่รวยทันด่วน ด้วยธุรกิจผูกขาด ถือตนว่ามีเงิน จึงดูถูกคนอื่น บางทีกระทั่งโคตรเหง้าของตนที่ไม่รวยเท่าตนก็ถูกคนเช่นนี้ดูถูกเอาด้วย อย่างนี้ก็เข้าข่ายเสื่อมครับ

(Cool คนเป็นนักเลงหญิง นักเลงสุรา นักเลงการพนัน ผลาญทรัพย์ที่ตนมาหาได้ นี้เป็นความเสื่อมประการที่ 8

นักเลงหญิง สำส่อนไม่เลือก ตายเพราะโรคเอดส์ก็มาก ผลาญเงินผลาญทองก็ไม่น้อย ยิ่งนักเลงสุราด้วยแล้ว ไม่เพียงแต่เปลืองเงินเปลืองทอง ยังเป็นภัยสังคมอีกด้วย สถิติคนตายเพราะอุบัติเหตุบนท้องถนนนั้นปรากฏว่าสาเหตุมาจากการดื่มสุราเมรัยเป็นส่วนมาก และเจ้าพวกนักเลงสุราเหล่านี้ ถ้ารอดตาย ก็มักกลายเป็นคนพิกลพิการ เป็นภาระแก่สังคมอีกต่างหาก ยิ่งนักเลงการพนันด้วยแล้ว ทรัพย์สมบัติที่มีเท่าไรๆ ก็ผลาญเกลี้ยง ไฟไหม้สิบครั้งไม่เท่าติดการพนัน เพราะผีพนันมันสิงตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง

(9) คนไม่สันโดษในภรรยาของตน (คือมีภรรยาคนหนึ่งแล้วไม่พอ) ผิดภรรยาของผู้อื่น ชอบเสพสมกับหญิงแพศยา นี้เป็นความเสื่อมประการที่ 9

ปัญหาสังคมปัจจุบันนี้ ส่วนมากมาจากการไม่รู้จักพอในกามารมณ์ มีเมียหนึ่งคนแล้วก็อยากมีสองมีสาม ทั้งๆ ที่บางคนก็หาเช้ากินค่ำ แต่ก่อนสุภาพบุรุษมักจะเป็นจำเลย เดี๋ยวนี้โลกมันเสมอภาคกันหรืออย่างไร สุภาพสตรีไฮโซไฮซ้อก็สำส่อนไม่แพ้กัน ที่มักมองข้ามก็คือ ความจู้จี้ขี้บ่น และปล่อยเนื้อปล่อยตัวของอีกฝ่ายก็เป็นหนึ่งในหลายสาเหตุแห่งปัญหานี้ไม่น้อย

(10) คนแก่ได้ภรรยาสาว นอนไม่หลับกระสับกระส่าย เพราะหึงหวงภรรยาสาว นี้เป็นความเสื่อมประการที่ 10

คนแก่ได้เมียสาว และ/หรือสาวแก่ได้ผัวหนุ่ม เป็นความเสื่อมที่เห็นไม่ยาก เมื่อไม่สามารถสนองความต้องการของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็ตั้งหน้าตั้งตาหึงหวง จนแม้ภริยาหรือสามีคุยกับเพศตรงข้ามธรรมดาๆ ลมเพชรหึงก็ขึ้นแล้ว บางทีถึงฆ่าฟันกันสิ้นชีวิตก็เพราะฤทธิ์หึงหวงนี้แหละ

ทำให้นึกถึงกลอนบทหนึ่งว่า "อันโคแก่แส่หาแก่หญ้าอ่อน แก่ฟันคลอนยังคิดในอิตถี..." ไม่เสื่อมเมื่อนี้แล้วจะเสื่อมเมื่อไหน

(11) ตั้งหญิงหรือชายผู้สุรุ่ยสุร่ายใช้จ่ายฟุ่มเฟือย ให้เป็นใหญ่ในครอบครัว นี้เป็นความเสื่อมประการที่ 11

ใครที่เคราะห์ร้ายได้ "กระเชอก้นรั่ว" มาเป็นคู่ครอง เรียกว่า มีภรรยาเพชฌฆาต ฆ่าสามีผ่อนส่ง หาได้เท่าไรๆ ก็หมด

(12) เกิดในตระกูลสูง มีโภคทรัพย์น้อย มีความมักใหญ่ ปรารถนาความเป็นใหญ่ นี้เป็นทางเสื่อมประการที่ 12

ข้อนี้ถ้าสมัยก่อน คงหมายถึงคนที่เงินก็ไม่มี อำนาจก็ไม่มี หรือมีน้อย คิดปฏิวัติ รัฐประหาร ด้วยกระมังแต่ปัจจุบันนี้ก็คงหมายถึงคนไม่มีเงินไม่มีทองแล้วริสมัครผู้แทนฯ สมัครแล้วไม่ได้ ต้องใช้หนี้เขาหัวโต

พระพุทธเจ้าตรัสสรุปว่า "คนฉลาดรู้จักคนเสื่อมดังกล่าวมานี้ ย่อมเลือกคบแต่คนเจริญ"

ข้อความในพระสูตรก็เอวังลงด้วยประการฉะนี้

พระสูตรคล้ายๆ กันนี้มีอยู่สองสูตร สูตรหนึ่งชื่อ วสลิสูตร อีตาพราหมณ์คนหนึ่งด่าพระพุทธเจ้าว่า "วสลิ" (ไอ้ถ่อย) พระพุทธองค์ตรัสถามแกว่า เจ้าว่าเรา "ไอ้ถ่อย" น่ะ เจ้ารู้ไหมว่าคนถ่อยเป็นอย่างไรเจ้าหมอนั่นบอกว่า ไม่รู้สิ พระองค์จึงว่า ถ้าอย่างนั้นจะจาระไนให้ฟัง

"คนมักโกรธ ชอบอาฆาตพยาบาท ดูหมิ่นคนอื่น มีความเห็นผิด มากด้วยมารยา พึงรู้เถิดว่าเป็นคนถ่อย โง่แล้วอวดฉลาด ยกตนข่มท่าน พึงรู้เถิดว่าเป็นคนถ่อย" เป็นต้น

อีตาพราหมณ์ขี้ยัวะหุบปากนิ่ง

สูตรที่สองเรียกว่า สิคาโลวาทสูตร หรือ สิงคาลกสูตร ขณะพระพุทธองค์ทรงออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ทอดพระเนตรเห็นหนุ่มน้อยคนหนึ่ง ยืนประคองอัญชลี (หมายถึงยืนยกมือไหว้นะขอรับ) ไหว้ทิศทั้งหลายอยู่ ตรัสถามว่าทำอะไร เด็กหนุ่มตอบว่า ไหว้ทิศตามคำสั่งของบิดา

พระองค์ตรัสว่า คำว่า "ไหว้ทิศ" ตามที่บิดาเธอสั่งไม่น่าจะใช้อย่างนี้ คงหมายถึงการทำหน้าที่ที่ตนมีในสังคมให้ดีที่สุดมากกว่า แล้วก็ทรงสอนหน้าที่ และการทำตามหน้าที่แก่เด็กหนุ่ม พร้อมกับสอนให้งดเว้น "อบายมุข" (ทางฉิบหาย) ไว้ด้วย

ทางฉิบหายคืออะไร ผมคงไม่จาระไน เพราะคนในยุคดอตคอม.ส่วนมาก ชอบกันฉิบหาย (คือชอบมากน่ะครับ)

By : ( IP : ...xxx ) (Read 522 | Answer 1 2008-03-30 13:44:41 )
 

ความคิดเห็นที่1  

ตามมาอ่าน คุณช้างสำเร็จขั้นไหนแล้ว

By : ไพบูลย์ ( 2008-03-30 13:44:10 )
 

จำนวนผู้เข้าชมเว็บทั้งหมด 230664 คน

ชมรมศิษย์เก่าสวนกุหลาบวิทยาลัย รุ่นที่ 96 100/397-398 หมู่บ้านมณียา ถ.รัตนาธิเบศธ์ ซ.ท่าอิฐ ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
ติดต่อท่านประธาน > kematat.p@hotmail.com ติดต่อเว็บมาสเตอร์ >webmaster.osk@gmail.com
Produced By Permpoon C. and Powered by: StartUp Design and Network Co.,Ltd.