|
|
|
หัวข้อ :อุทาหรณ์และไว้อาลัยแด่เพื่อน IE จุฬา [ No. 461 ] |
|
รายละเอียด :
== ฆ่ายกครัว 5 ศพ....สธ.ชี้หวังพบกันชาติหน้าเป็นความเชื่อที่ผิด(7/2/50) ===
ฆ่ายกครัว 5 ศพนักธุรกิจใหญ่เครียดยิงเมีย-ลูก สธ.ชี้หวังพบกันชาติหน้า เป็นความเชื่อที่ผิด
เสี่ยเจ้าของโรงงานผลิตหัวน้ำหอม เครียดปัญหาหนี้สินหลายร้อยล้าน ตัดสินใจใช้ปืนจ่อยิงเมีย-ลูก 3 คนดับคาที่นอน ก่อนฆ่าตัวตายคาคฤหาสน์หรูย่านพัฒนาการ ทิ้งจดหมายลาตาย 2 ฉบับ ขอโทษพ่อแม่-ถูกนายหน้า"ชูแสง"ตามทวงค่าวิ่งเต้นกู้ธนาคาร
สน.คลองตัน เมื่อเวลา 7.30 น.วันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ต.ท.ปริญญา วงศ์กล้า สารวัตรเวร สน.คลองตัน รับแจ้งเหตุพบศพถูกยิงเสียชีวิตจำนวน 5 ราย ภายในบ้านเลขที่ 127-129 ซ.พัฒนาการ 40 (ซอยถาวร) ถ.พัฒนาการ แขวงและเขตสวนหลวง กทม. จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ก่อนเดินทางไปตรวจสอบพร้อมด้วย พล.ต.ต. กฤษฎา พันธุ์คงชื่น รอง ผบช.น.พ.ต.อ. ชาญ แสงเสียงฟ้า ผกก.สส.บก.น 5 พ.ต.อ. สุคุน พรหมายน ผกก.สน.คลองตัน แพทย์ รพ.จุฬา เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐานและมูลนิธิป่อเต็กตึ้ง
ที่เกิดเหตุเป็นคฤหาสน์ขนาดใหญ่ปลูกติดกัน 2 หลัง บนเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่เศษ โดยหลังแรกเป็นคฤหาสน์ทรงหลุยส์ เลขที่ 90/22-23 มีจำนวน 2 ชั้น ส่วนอีกหลังซึ่งเป็นพบศพปลูกเป็นคฤหาสน์ทรงโมเดิร์นสมัยใหม่ 3 ชั้น เพิ่งจะสร้างเสร็จ โดยบริเวณด้านในยังตกแต่งไม่เรียบร้อย บริเวณด้านหน้าปลูกเป็นโรงจอดรถมีรถยนต์หรูหลายยี่ห้อ จอดเรียงรายนับสิบคัน
สำหรับห้องที่เกิดเหตุ ที่บริเวณชั้น 3 พบห้องนอน 2 ห้อง ห้องแรกเจ้าหน้าที่พบศพนายบุญชัย สุรวุฒิพงศ์ อายุ 49 ปี นอนหงายอยู่บนพื้นห้อง สวมเสื้อกล้ามสีขาว กางเกงขาสั้นสีขาว ถูกยิงด้วยอาวุธปืน ขนาด .38 เข้าที่ขมับ 1 นัด นอกจากนี้ยังพบศพ นางเพ็ญพิมล สุรวุฒิพงศ์ อายุ 40 ปี ภรรยา สวมชุดนอนสีเทาถูกยิงด้วยปืน .38 เข้าที่ขมับ 1 นัด และด.ช.พานิช สุรวุฒิพงศ์ อายุ 5 ขวบ นักเรียนระดับเกรด 1 โรงเรียนบางกอกพัฒนา บุตรชายคนเล็กนอนเสียชีวิตอยู่บนเตียงนอน โดยด.ช.พานิช มีร่องรอยถูกยิงด้วยอาวุธปืนขนาด .38 ยิงเข้าที่เหนือคิ้วซ้าย 1 นัดทะลุศีรษะ และเข้าที่ขมับซ้าย 1 นัด
จากการตรวจสอบภายในห้องนอนพบปืนขนาด .38 จำนวน 1 กระบอก และอาวุธปืนขนาด 9 มม. ตกอยู่บนพื้นข้างศีรษะนายบุญชัย ใกล้กันพบหัวกระสุนขนาด .38 ตกอยู่จำนวน 4 หัว จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน และยังพบสมุดฉีกขนาดเล็ก เขียนบันทึกข้อความเป็นจดหมายลาตาย ที่นายบุญชัยเขียนทิ้งไว้ 2 ฉบับ โดยฉบับแรกเขียนด้วยลายมือมีใจความ "ขอโทษพ่อแม่ที่สร้างปัญหาให้โดยตลอดในการตัดสินใจที่ผิดพลาดหลายครั้ง ขอโทษที่ไม่ได้ทดแทนบุญคุณ ทั้งนี้ตนจะขอพาครอบครัวไปด้วย เนื่องจากปัญหาหนี้สิน " สำหรับจดหมายอีกฉบับเขียนว่า" ชูแสง ให้แขกมาเฟียมาอุ้มลูกเพื่อทวงหนี้ "
นอกจากนี้จากการตรวจสอบที่ห้องนอนห้องที่สองของชั้น 3 เจ้าหน้าที่พบศพ น.ส.ณัฐมล สุรวุฒิพงศ์ อายุ 15 ปี ลูกสาวคนรอง กำลังเรียนหนังสือระดับเกรด 11 (เทียบเท่า ม.3 )ที่โรงเรียนบางกอกพัฒนา ย่านสุขุมวิท 105 และที่ห้องนอนชั้น 2 พบศพ น.ส.ณัฐนิช สุรวิฒิพงศ์ อายุ 18 ปี ลูกสาวคนโต กำลังจะเรียนจบระดับ เกรด 13 (เทียบเท่า ม.6)โรงเรียนบางกอกพัฒนา โดยทั้งสองศพถูกยิงด้วยอาวุธปืน.38 เข้าที่ขมับคนละ 1 นัด โดยสภาพศพนอนหลับอยู่บนเตียงนอนและถูกห่มผ้าอย่างเรียบร้อย แพทย์ระบุทั้งหมดเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 6-8 ชั่วโมง
จากการสอบถามนายปุน จันหอม อายุ 50 ปี เจ้าหน้าที่ดูแลบ้านกล่าวว่า ตนทำงานอยู่กับนายบุญชัย ซึ่งเป็นผู้จัดการบริษัทแพ็คเซิร์ป** ซึ่งเป็นบริษัทผลิตหัวน้ำหอมมากว่า 8 ปีแล้วโดยก่อนหน้านี้ตนเป็นคนขับรถ แต่ช่วงหลังสายตาไม่ดีนายบุญชัยจึงให้มาดูแลบ้าน ก่อนหน้านี้บ้านหลังดังกล่าวเป็นโรงงานผลิตหัวน้ำหอมขนาดเล็กส่งออกทั้งในและนอกประเทศ โดยทำเป็นน้ำหอมอัดกระป๋องให้กับน้ำหอมยี่ห้อแอ็ค จากนั้นเมื่อกิจการดีขึ้นได้ขยายกิจการ โดยนายบุญชัยได้ซื้อที่ดินย่านร่มเกล้าเปิดเป็นโรงงานขนาดใหญ่เนื้อที่ 20 ไร่ ต่อมานายบุญชัยได้ปรับปรุงพื้นที่บริเวณเกิดเหตุเป็นคฤหาสน์ทรงหลุยส์ โดยที่นายบุญชัยอาศัยอยู่รวมกับพ่อแม่ สำหรับนายบุญชัยมีพี่น้อง 6 คนโดยนายบุญชัยเป็นพี่ชายคนโต พ่อแม่จึงให้เป็นคนดูแลบริษัท ต่อมาเมื่อ 2 ปีก่อนนายบุญชัยและครอบครัวได้สร้างบ้านขึ้นอีกหลังหนึ่ง สไตล์โมเดิร์นภายในรั้วเดียวกันกับบ้านของพ่อแม่ และเป็นบ้านที่เกิดเหตุ โดยขณะนี้อยู่ในระหว่างขั้นตอนการตกแต่ง
นายปุน กล่าวต่อว่าเมื่อ 2 อาทิตย์ที่แล้วนายบุญชัยพร้อมด้วยครอบครัวได้ย้ายเข้ามาอาศัยที่บ้านหลังเกิดเหตุ โดยก่อนพบศพแม่บ้านที่ทำงานอยู่ในบ้าน ได้ขึ้นไปที่ห้องนอนเพื่อเคาะประตูเรียกลูกชายคนเล็กซึ่งนอนกับนายบุญชัยและภรรยา เพื่อเตรียมตัวไปโรงเรียนตามปกติ แม่บ้านเคาะประตูอยู่หลายครั้งก็ไม่มีใครเปิดประตูห้อง จึงตัดสินใจเปิดประตูห้องนอนเอง เมื่อเปิดประตูเข้าไปเห็นเลือกกระจายเต็มกำแพง และพบว่าทั้งนายบุญชัย ภรรยาและลูกชายได้กลายเป็นศพไปแล้ว จึงเดินมาที่ห้องนอนของลูกสาว ซึ่งก็พบว่ากลายเป็นศพไปแล้วเช่นกัน จึงรีบติดต่อให้เจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ ส่วนปัญหาเรื่องหนี้สินของครอบครัวนายบุญชัยนั้นตนไม่ทราบ
"นายบุญชัยเป็นคนนิสัยดี ใจดี เวลาวันหยุดจะพาลูกๆ พร้อมภรรยาไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าเป็นประจำ เท่าที่ผมทำงานอยู่กับนายบุญชัยไม่เคยเห็นนายบุญชัยทะเลาะกับภรรยาและลูกทั้งสามคนเลย" นายปุน กล่าว
ด้าน พ.ต.ท.ปริญญา พนักงานสอบสวนเจ้าของคดี กล่าวว่า เบื้องต้นคาดว่าสาเหตุน่าจะมาจากเรื่องหนี้สิน เพราะผู้ตายลงทุนขยายกิจการโรงงานที่ย่านบางปะกง เนื้อที่ประมาณ 20 ไร่ มูลค่าประมาณ 800 ล้านบาท จากนั้นก็มากู้เงินจากธนาคารอีก จำนวน 130 ล้าน เพื่อเป็นทุนหมุนเวียนในโรงงาน แต่ธุรกิจมีปัญหา และเป็นหนี้สินจำนวนมาก จึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย แต่ไม่อยากให้ครอบครัวทั้งลูกและภรรยารับภาระหนี้สินจึงตัดสินใจฆ่าภรรยาและลูกทั้ง 3 คนตามตัวเองไปด้วย
พ.ต.ท.ปริญญา กล่าวต่อว่า จากการตรวจตามห้องที่เกิดเหตุทั้ง 3 ห้อง พบรอยเลือดหยุดเป็นทางยาว มีรอยเท้าเหยียบย่ำต่อเนื่องกัน เบื้องต้นจึงคาดว่า นายบุญชัย น่าจะใช้อาวุธปืนขนาด .38 ยิงนางเพ็ญพิมล ภรรยาก่อนเป็นคนแรก จากนั้นก็ใช้อาวุธปืนกระบอกเดิม ยิงลูกชายคนเล็ก แต่คาดว่ากระสุนนัดแรกเข้าที่บริเวณเหนือคิ้วซ้ายทะลุออกข้างศีรษะ จึงยิงซ้ำเข้าที่ขมับอีก 1 นัด จนเสียชีวิต จากนั้นนายบุญชัย จึงเดินออกจากห้องไปที่ห้องนอนของลูกสาวคนรอง ใช้อาวุธปืนกระบอกเดิมยิงเข้าที่ขมับจนเสียชีวิต ตามด้วยลูกสาวคนโต ก่อนที่จะเดินกลับมาที่ห้องตัวเอง นั่งเขียนจดหมายดังกล่าว แล้วใช้อาวุธปืนยิงขมับตัวเองเป็นคนสุดท้าย
ขณะที่ พ.ต.อ.ชาญ แสงเสียงฟ้า ผกก.สส.น.5 กล่าวว่า เบื้องต้นจะให้ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนของ กก.สส.บก.น.5 แบ่งทีมกันตรวจสอบประวัติของนายชูแสง ไม่ทราบนามสกุล ที่พบชื่อระบุอยู่ในจดหมายลาตายของนายบุญชัย ซึ่งเบื้องต้นพบว่า นายชูแสง เป็นคนวิ่งเต้นพานายบุญชัยไปกู้เงินจากแบงค์จำนวน 130 ล้านมาทำธุรกิจ ซึ่งจะได้เงินค่านายหน้าเป็นเงินจำนวน 4-5 ล้านบาท แต่ยังไม่ได้จ่ายเงินให้นายชูแสง และเท่าที่ตรวจที่เกิดเหตุไม่พบสิ่งผิดปกติ หรือแม้กระทั่งซองยาสลบ ที่คาดว่านายบุญชัยอาจจะวางยาลูกและภรรยาก่อนลงมือยิง และยังไม่มีร่องรอยการต่อสู้
"เท่าที่ตรวจสอบพบว่า ภรรยานายบุญชัยนั้นยังเล่นหุ้น ซึ่งก็ประสบปัญหาหุ้นตกสูญเงินไปเป็นจำนวนมาก จึงไม่เงินมากพอที่จะจ่ายค่านายหน้านายชูแสง จึงถูกนายชูแสงตามทวงหนี้ พร้อมทั้งขู่จะอุ้มลูกๆของนายตามที่ระบุไว้ในจดหมายจึงตัดสินใจยิงตัวตายพร้อมภรรยาและลูกๆเพื่อหนีปัญหา ส่วนประเด็นอื่นๆกำลังประสานทางญาติมาสอบปากคำว่า ผู้ตายมีหนี้สินหรือปัญหาส่วนตัวกับใครอีกหรือไม่" พ.ต.อ.ชาญกล่าว
ส่วน อาจารย์พรพิมล เจริญ ผู้จัดการโรงเรียนบางกอกพัฒนา กล่าวว่าทางโรงเรียนทราบข่าวการเสียชีวิตของเด็กทั้งสามเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาจากเมล์ผู้อำนวยการโรงเรียนที่ส่งให้อาจารย์ภายในโรงเรียนทราบ หลังจากที่ทราบเรื่องทางโรงเรียนได้นัดเรียกประชุมอาจารย์รวมทั้งเพื่อนนักเรียน ในช่วงบ่ายของวันนี้ (6 ก.พ.) และจะได้แจ้งผู้ปกครองเด็กนักเรียนคนอื่นๆ ทราบผ่านทางจดหมายข่าวออนไลน์ของทางโรงเรียน
"ทางโรงเรียนมีนักเรียนที่เป็นคนไทยน้อย ทำให้เรารู้จักเด็กทั้งสามเป็นอย่างดี สำหรับเด็กทั้งสามคนนั้น เป็นเด็กดี ประพฤติตัวปกติเหมือนเด็กนักเรียนทั่วไป ไม่เคยมีปัญหาค้างค่าใช้จ่ายกับทางโรงเรียน ส่วนเรื่องหนี้สินทางโรงเรียนไม่ทราบเรื่องมาก่อน " อ.พรพิมล กล่าว
*โฆษก สธ. ชี้เป็นความเชื่อที่ผิด หวังพบกันชาติหน้า *
นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การฆ่าตัวตายยกครัวในครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนใจ และต้องนำมาวิเคราะห์ดูว่าสาเหตุของการฆ่าตัวตายมีอะไรบ้าง แต่จากการวิจัยพบว่าผู้ที่ฆ่าตัวตายมักมีปัญหาในเรื่องเศรษฐกิจ รองลงมาเป็นเรื่องของครอบครัว เช่นสามีมีเมียน้อย หรือเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้ รวมไปถึงความผิดหวังในชีวิตที่เกิดจากการตั้งความหวังไว้สูงเกินไป และอื่นๆ อย่างไรก็ตามการฆ่าตัวตายไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะคนที่ป่วยเป็นโรคจิต แต่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่ผู้ที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ 40-75% มีสาเหตุจากโรคซึมเศร้า
ในปี 2549 สถิติการฆ่าตัวตายของคนไทย 5.7 ต่อแสนประชากรต่อปี ลดลงจากปีที่แล้วที่สูง 6.34 ต่อแสนประชากรต่อปี โดยภาคเหนือยังครองอันดับสูงสุด รองลงมาคือภาคตะวันออก เมื่อเทียบกับต่างประเทศพบว่าการฆ่าตัวตายของคนไทยน้อยกว่ายุโรป และญี่ปุ่น ส่วนการฆ่ายกครัวนั้นในต่างประเทศพบ 0.2-0.5 ต่อแสนประชากรต่อปี แต่ในประเทศไทยยังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ความเชื่อในเรื่องการฆ่าตัวตายที่ว่าเมื่อตัวเองตายจะต้องเอาคนรักไปด้วย หรือกรณีของครอบครัวหากตายด้วยกันทั้งหมดจะได้ไปอยู่ร่วมกันในภพหน้า เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และเป็นความเชื่อที่ผิด และร้ายแรงกว่าการฆ่าตัวตายเพียงคนเดียว เพราะเป็นการฆ่าคนอื่นไปด้วย ?ผู้นำครอบครัวมักจะมีความเชื่อผิดๆว่า ตนเป็นผู้นำ เป็นผู้ให้ และเป็นเจ้าของชีวิต และคิดว่าลูกเป็นของตัวเอง ซึ่งแท้จริงแล้วแม้ลูกจะกำเนิดมาจากเรา แต่ก็เป็นอีกหนึ่งชีวิต ทางออกอาจจะต้องใช้หลักธรรมคำสอนทางศาสนาเข้ามาช่วยว่าการฆ่าตัวตายเป็นบาป และการทำให้คนที่อยู่ข้างหลังเป็นทุกข์ก็ถือว่าเป็นบาปด้วย? นพ.ทวีศิลป์กล่าว
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ส่วนคนรอบข้างก็ควรจะสังเกตบุคคลในครอบครัว หรือผู้ที่ใกล้ชิดกับเราว่ามีความผิดปกติ หรือมีความเครียดหรือไม่ และเข้ามาช่วยโดยการให้คำปรึกษา หรือให้เขาได้ระบายออก เพราะคนที่มีปัญหาจนอยากฆ่าตัวตายถือว่าเป็นการตั้งโจทย์ที่ผิด การฆ่าตัวตายไม่ใช่การตัดปัญหา คนรอบข้างจึงควรช่วยเหลือให้เปลี่ยนความคิดว่าการฆ่าตัวตายไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง
นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า วิธีการสังเกตคนรอบข้างที่อาจจะมีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายคือ
1.เคยมีพฤติกรรมพยายามฆ่าตัวตายมาก่อน
2.มักจะทำอะไรแปลกๆ เช่น มีการวางแผนการฆ่าตัวตาย สะสมอาวุธ
3.มีอารมณ์ซึมเศร้า แสดงออกด้วยการร้องไห้บ่อยๆ หรือเก็บตัวไม่พูดจา มักครุ่นคิดและพูดลอยๆ ว่าอยากตาย เป็นต้น
ข้อมูลข่าวโดยหนังสือพิมพ์คม ชัด ลึก ฉบับวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2550 (ข่าวบ่าย)
By : วรากร
( IP : 203.113.34.xxx )
(Read 494 | Answer 0 2007-02-09 06:04:28 )
|
|
|
|
|
|
|
|
|