|
|
|
หัวข้อ :"เศรษฐกิจเกาหลี" (1-2) [ No. 466 ] |
|
รายละเอียด :
"เศรษฐกิจเกาหลี" (1-2)
6 มกราคม 2550 น.
วิกรม กรมดิษฐ์ ประธานมูลนิธิอมตะ VIKROM@VIKROM.NET
ช่วงนี้บ้านเมืองระส่ำระสายดังที่ทุกท่านทราบกันดีอยู่แล้ว ผมก็ขอเอาใจช่วยให้พวกเรารู้รักสามัคคีฝ่าฟันวิกฤติแห่งยุคร่วมกันนี้ไปให้ได้ ด้วยการตั้ง "สติ" และใช้ "ปัญญา" ในการพิจารณาสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุและผลนะครับ อย่าเชื่อหรือหวั่นไหวกับข่าวลือ-ข่าวลวงมากนัก ซึ่งส่งผลกระทบให้การพัฒนาประเทศของเรายิ่งช้าลงกว่าปกติ
ฉะนั้นวันนี้ผมขอนำเรื่องเศรษฐกิจของเพื่อนบ้านในเอเชียที่เติบโตอย่างรวดเร็วมาฝาก เพื่อให้เป็นตัวอย่างข้อคิดในการนำไปพัฒนาประเทศของเราต่อไป เพราะ หากมองย้อนกลับไปเมื่อกว่า 40 ปีที่แล้ว จะพบว่าในตอนนั้นประเทศไทยมีฐานะทางเศรษฐกิจอยู่ในอันดับต้นๆ ของภูมิภาคเอเชียเลยทีเดียว แต่วันนี้ เรากลับกลายมาอยู่ข้างหลังเพื่อนบ้านไปแล้ว และหนึ่งในนั้นคือ ประเทศเกาหลี
เมื่อซัก 30 กว่าปีที่แล้ว ผมได้มีโอกาสเหยียบแผ่นดินเกาหลี เพราะต้องทำการเปลี่ยนเครื่องบิน และในช่วงที่ผมอยู่ในสนามบิน ผมสังเกตเห็นถึงสภาวะสงครามในเกาหลี ทุกอย่างถูกควบคุมด้วยทหารและพร้อมที่จะทำการสู้รบตลอดเวลา ทุกสิ่งล้วนอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่เคร่งครัด หน้าตาของคนเกาหลีไม่มีแม้กระทั่งรอยยิ้ม ผมเชื่อได้ว่าสภาพความเป็นอยู่ของคนไทยในตอนนั้นดีกว่าเกาหลีจนเห็นได้ชัด
ในตอนนั้นร้านอาหารในเมืองไทยจะมีคนเกาหลีมาทำงานตามร้านอาหาร ในบาร์ หรืองานที่จะต้องใช้แรงงานต่างๆ เป็นจำนวนมาก เนื่องจากเศรษฐกิจที่ไม่สู้จะดีนักในประเทศ ทำให้พวกเขาเหล่านั้นต้องออกมาทำงานนอกประเทศ เพื่อหาเลี้ยงชีพตัวเองและส่งเงินกลับไปให้ครอบครัว เรียกว่าคนเกาหลีขณะนั้นยากจนข้นแค้นมากเลยทีเดียว คนไทยหลายๆ คนก็ชอบไปเที่ยวเกาหลี เพราะค่าเงินที่ถูกมาก และค่าครองชีพที่ต่ำของคนเกาหลี จะซื้อจะเที่ยวอะไรก็สบายกระเป๋ามาก
ความสัมพันธ์ระหว่างคนไทยและคนเกาหลีอยู่ในขั้นดีมาโดยตลอด เพราะประเทศไทยได้ส่งทหารไทยไปช่วยรบในสงครามเกาหลี และทำให้คนทั้งสองเชื้อชาติมีความใกล้ชิดกัน การค้า การท่องเที่ยว เกาหลีก็แพร่หลายในประเทศไทย และคนเกาหลีจึงเริ่มรู้จักคนไทยจากช่วงนั้นเอง
โดยส่วนตัวผมมีเพื่อนชาวเกาหลีหลายคน ทุกคนล้วนเป็นคนขยัน ใฝ่รู้ และมุ่งมั่น ทั้งทางด้านเรื่องงาน ความรู้ใหม่ๆ พวกเขาพร้อมที่จะเปิดใจรับและขวนขวาย อีกทั้งยังมีความอดทน ซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษที่เด่นชัดเป็นเหตุให้การพัฒนาบ้านเมืองของเขารุดหน้าไปอย่างต่อเนื่องทุกปี
นอกจากนี้ รัฐบาลเกาหลียังมีการสร้างกลยุทธ์ที่ทำให้คนเกาหลีเกิดกำลังใจในการพัฒนาประเทศ โดยมีการตั้งเป้าว่า จะทำอย่างไรให้คนเกาหลีสามารถเอาชนะคนญี่ปุ่นได้ ทำให้ประชากรของพวกเขามีความมุ่งมั่นและกระตือรือร้นที่จะเอาชนะคนญี่ปุ่น เนื่องจากในช่วงที่ญี่ปุ่นเข้ามารุกรานและปกครองเกาหลีนั้น คนเกาหลีถูกกดขี่ข่มเหงมาก จนเป็นความเจ็บแค้นที่ฝังใจ จนรัฐบาลเกาหลีนำเอาจุดนี้มาใช้ปลุกระดมประชาชนเกาหลีทั้งหมด ให้พัฒนาประเทศไปอย่างรวดเร็วมากกว่าเดิมเสียอีก
เรียกว่าปลุกนโยบาย "ชาตินิยม" มาใช้อย่างได้ผล เราจึงเห็นความเปลี่ยนแปลงทุกอย่างของเกาหลีในช่วงเวลา 40 ปีที่ผ่านมาอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ผมถือว่ากลยุทธ์ที่รัฐบาลเกาหลีจุดประกายของความต้องการเอาชนะคนญี่ปุ่นนั้นประสบความสำเร็จเป็นอย่างยิ่ง เพราะคนเกาหลีจะต้องเอาชนะตัวเองให้ได้ก่อนที่จะสามารถแข่งขันและเอาชนะคนญี่ปุ่น ผมก็ชอบแข่งกับตัวเองโดยคิดอยู่เสมอว่า "วันพรุ่งนี้ต้องดีกว่าวันนี้" ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม เพื่อทำให้พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
เกาหลีเปลี่ยนแปลงตัวเองจากประเทศเกษตรกรรมเป็นประเทศอุตสาหกรรมอย่างรวดเร็ว และทำให้ชาวเกาหลีย่างก้าวเข้าสู่ความไฮเทคขึ้นทุกวัน เท่านั้นยังไม่พอ รัฐบาลเกาหลียังทุ่มทุนในเรื่องของการศึกษา และวิธีการพัฒนาเรื่องการศึกษาของเขานั้นก็ไม่ต้องทำอะไรมาก เนื่องจากมีความใกล้ชิดกับสหรัฐอเมริกา จึงนำเอาแบบอย่างทางการศึกษาของสหรัฐอเมริกามาประยุกต์ใช้ในประเทศและประสบความสำเร็จทางด้านการศึกษาเช่นเดียวกับที่สิงคโปร์ประสบความสำเร็จมาแล้ว
ดังนั้น หลังจากที่สถาบันการศึกษาต่างๆ ของเกาหลีผลิตคนที่มีคุณภาพออกมาแล้ว รัฐบาลกลางเกาหลียังลงทุนเพิ่มในเรื่องของศูนย์ข้อมูลส่วนกลางของประเทศที่ไม่ว่าใครก็ตาม จะสามารถมาใช้ข้อมูลตรงจุดนี้ได้ ซึ่งเป็นเรื่องของการศึกษา ค้นคว้า และงานวิจัยใหม่ๆ ฉะนั้นจึงทำให้เกิดการศึกษาค้นคว้าอย่างแพร่หลายในประเทศเกาหลี
ผมถือว่าเป็นการลงทุนด้านคลังสมองส่วนกลางที่รัฐบาลเกาหลีใช้เงินลงทุนอย่างมหาศาล ถือได้ว่าเป็นการลงทุนมากเป็นอันดับสามของโลก รองจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ทำให้คนเกาหลีสามารถเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานในองค์กรหรือประชาชนทั่วไปตามบ้านเรือน อย่างนี้แล้วไม่ใช่เรื่องเกินจริงเลยนะครับ
ปกติแล้ว หากพูดถึงเรื่องของการทำงาน คนส่วนใหญ่จะคิดถึงการทำงานตามบริษัทหรืองานในสำนักงานแต่สำหรับคนเกาหลีแล้ว พวกเขาสามารถทำงานได้แม้กระทั่งนั่งอยู่ที่บ้าน พวกเขาทำงานโดยไม่มีวันหยุด เพราะบ้านของเขาก็เป็นเสมือนที่ทำงาน (HOME OFFICE) สิ่งนี้เองที่ทำให้ผมเองเริ่มผิดสังเกตว่า ทำไมในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ถึงได้มีสินค้าที่มีสัญชาติเกาหลีออกมาอย่างมากมาย เราเห็นสินค้าเกาหลีใหม่ๆ ส่งออกมาในโลกสากลทุกวัน
เมื่อไม่นานมานี้ ผมเคยยกตัวอย่างเรื่องของ เดลต้า อิเลคทริค ซึ่งมีนักวิจัยไทยประมาณ 500 คนผลิตผลงานออกมาอย่างต่ำวันละ 1 ชิ้น วันนี้คนเกาหลีมีข้อมูลสำหรับการผลิตและพวกเขาสามารถผลิตสินค้าออกมาได้อย่างมากมายมหาศาล จนเกินกว่าที่พวกเราจะคาดถึง เพราะ 2-3 ปีนี้เป็นผลที่ได้จากคลังสมองส่วนกลางที่รัฐบาลลงทุนให้
ผมเชื่อว่ามันจะยิ่งพัฒนาขึ้นไปอีก จนทำให้ทุกวันนี้ เกาหลีกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรมหนักไปแล้ว และยังขยายตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนขณะนี้ เกาหลีมีสินค้าหลายอย่างที่กำลังตามสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และยุโรปมาติดๆ แม้กระทั่งในเรื่องอุตสาหกรรมรถยนต์ คอมพิวเตอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เกาหลีคิดขึ้นเอง และส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลก ในต้นทุนที่ต่ำกว่า
หากเราจะมองประเทศเกาหลีตามหลักภูมิศาสตร์แล้ว จะพบว่าถูกล้อมรอบไปด้วยประเทศมหาอำนาจ ทั้งรัสเซีย จีน และญี่ปุ่น สิ่งนี้เองที่เป็นตัวเร่งให้เกาหลีต้องแข่งกับตัวเอง เพื่อให้ตามประเทศมหาอำนาจเหล่านี้ให้ทัน ถือเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกาหลีพัฒนาตัวเองมาอยู่ในชั้นแนวหน้าของโลกเลยทีเดียว
ตั้งแต่ต้นปี 1960 เกาหลีเปลี่ยนตัวเองเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ และการพัฒนาประเทศนั้นก็อยู่ในระดับต้นๆ ของโลก เมื่อ 40 ปีที่แล้วที่เกาหลีมีรายได้ต่อหัวของประชากรต่ำมาก จัดว่าเป็นประเทศยากจนที่มีรายได้ต่ำที่สุดประเทศหนึ่งของเอเชีย เทียบเท่าได้กับแอฟริกา แต่ในปัจจุบันรายได้เฉลี่ยของประชาชนเกาหลีเทียบเท่ากับบางประเทศในกลุ่มอียูเสียอีก
แม้กระทั่งช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโลก เกาหลีก็สามารถแก้ไขสถาบันการเงินที่มีปัญหาทั้งหมด 531 แห่ง โดยการกำจัดออกจากตลาด และลดหนี้เสียของแบงก์ อีกทั้งยังใช้หนี้ IMF กว่า 30,000 ล้านดอลลาร์ได้ก่อนกำหนดถึง 3 ปี
ในปี 2003 เกาหลีประสบกับปัญหาเศรษฐกิจที่ซบเซาจากผลกระทบของความตึงเครียดจากสงครามในคาบสมุทรเกาหลี อันมีเรื่องของอาวุธนิวเคลียร์เป็นหลัก นอกจากนี้ ยังมีผลกระทบจากโรคซาร์ส แต่ในปี 2005 เศรษฐกิจเกาหลีก็เริ่มดีขึ้น และในปี 2006 เกาหลีก็ได้ดุลการค้าถึง 30,000 ล้านดอลลาร์ ทำให้รายได้ต่อหัวของคนเกาหลีกลายเป็น 20,000 ดอลลาร์ต่อคนต่อปีไปแล้ว และสูงกว่าคนไทยถึง 10 เท่า
สัดส่วนของ GDP ประเทศเกาหลีนั้น มาจากภาคเกษตรกรรม 3.3% ภาคอุตสาหกรรม 40% และภาคบริการ 56% ประชากรของเกาหลีมี 48 ล้านคน เป็นวัยแรงงาน 23 ล้านคน ซึ่งทำงานในภาคเกษตรกรรมเพียง 6.4% ในภาคอุตสาหกรรม 20%
จากตัวเลขดังกล่าวจะช่วยทำให้เราเห็นภาพได้ว่า เพราะเหตุใดประเทศไทยจึงขาดดุลการค้าให้กับเกาหลี นั่นก็เพราะเราใช้แรงงานคนเป็นจำนวนมากในการผลิตสินค้าเกษตรกรรมซึ่งมีราคาถูก แล้วนำไปซื้อ ขาย แลก เปลี่ยน กับสินค้าอุตสาหกรรมของประเทศเกาหลี ที่ใช้แรงงานในการผลิตน้อยกว่า แต่มีมูลค่ามากกว่าหลายเท่าตัวเลยทีเดียว
ด้วยเศรษฐกิจที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็วของเกาหลีนั้น ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ไปทำงานในประเทศเกาหลี แตกต่างจากในอดีตที่คนเกาหลีไหลบ่าเข้ามาทำงานในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ผมอยากให้ผู้บริหารหันมามองว่า ในฐานะที่เราเป็นผู้บริหารประเทศนี้ 40 ปีที่ผ่านมา นโยบายต่างๆ ของเราดีเพียงพอหรือไม่ ประเทศเพื่อนบ้านของเราจึงพัฒนาตัวเองแซงหน้าประเทศไทยไปหลายขุม
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการศึกษา ที่ผมอยากให้เน้นเป็นพิเศษ เพราะการที่สิงคโปร์ หรือเกาหลี ยกเอาระบบการศึกษาของอเมริกามาใช้ในประเทศ และปรับปรุงให้เหมาะสมกับคนในประเทศ ทำให้ประเทศเหล่านี้สามารถประสบความสำเร็จ และพัฒนาตัวเองจนกลายมาเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจดีอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลก ทั้งที่ในอดีตประเทศเหล่านี้เป็นเพียงประเทศที่ยากจนเท่านั้นเอง
ช่วยกันคิด ช่วยกันทำเถิดครับ ทางรอดของประเทศเรายังมีอยู่หากเราช่วยกันปรับปรุงระบบการศึกษาให้แก่เด็ก เยาวชน ซึ่งเป็นอนาคตของชาติ
_________________
If a fool would persist in his folly, he would become wise.
- WILLIAM BLAKE, English artist and poet (1757 - 1827)
By : chang
( IP : 58.8.115.xxx )
(Read 734 | Answer 0 2007-02-12 13:36:41 )
|
|
|
|
|
|
|
|
|