คลิกเลือกไปหน้าแรก
ชาวสวน'92เข้าสูระบบ
คลิกดูกำหนดการได้ที่วันที่ในปฏิทิน
ธันวาคม - 2567
พฤ
อา
25
26
27
28
29
30
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
1
2
3
4
5
 

@คณะกรรมการชมรม
@ตัวแทน/ผู้ประสานงาน
@วิสัยทัศน์ ค่านิยม ยุทธศาสตร์
@ระเบียบการบริหารงาน
@ระเบียบว่าด้วยเงิน
@รักรุ่นจริงไม่ทิ้งกัน
@บัญชีสถานะการเงิน
@เพลงสวน

คลิกเพื่อเลือกชมและบันทึกข้อความ
คลิกเพื่อดูหรือ post ข่าว
 คลิกเพื่อดูหรือ post จดหมายเวียน
คลิกเพื่อดูหรือ post กำหนดการทำบุญบริจาคโลหิต
คลิกเพื่อดูหรือ post เข้าบอร์ดเพื่อนช่วยเพื่อน
คลิกเพื่อดูหรือ post รายละเอียดธุรกิจของเพื่อน
คลิกเพื่อดูหรือ post คลิปโดนๆของชาวสวน 96
คลิกเพื่อดูหรือ post ภาพกิจกรรมของชาวสวน 96
คลิกเพื่อฝากข่าวสารถึงท่านประธาน
คลิกเพื่อฝากข่าวสารถึง webmaster
คลิกเพื่อดูหรือ postข่าวสารทางวิชาการจากสวน 96
คลิกเพื่อดูหรือ postคำคม,ปรัชญาชีวิต
คลิกเพื่อดูหรือ postเรื่องซุบซิบนินทา
คลิกเพื่อดูหรือ postเรื่องของครอบครัวสวน  96
คลิกเพื่อดูหรือ postเรื่องสันทนาการ

  คลิกเพื่อลิ้งค์ไปสู่หน้าเวปสวนกุหลาบ
  คลิกเพื่อลิ้งค์ไปสู่หน้าเวป OSKNETWORK


หัวข้อ :ภัยแห่งพระพุทธศาสนาในประเทศไทย โดย พระธรรมปิฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)   [ No. 524 ]  
รายละเอียด :
บางส่วนจาก http://203.150.123.17/html/450215.htm

ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไร ชาวพุทธควรได้ปัญญา มองดูความคิดจิตใจคน ที่จะส่งผลอนาคตต่อไป
สภาพอย่างที่ว่ามา ที่อยู่ร่วมกันด้วยความร่มเย็นเป็นสุขเหมือนเป็นพี่เป็นน้อง ไม่ว่าต่างผิวต่างเผ่าต่างศาสนานี้ เราพูดได้เลยว่ามีได้เฉพาะเมื่อชาวพุทธมีจำนวนมากครอบคลุมเกือบ หมดทั้งประเทศ แต่ถ้าเมื่อไรมีชาวพุทธน้อยลงก็จะเริ่มเกิดปัญหา

อย่างเมืองไทยนี้ พูดได้เลยว่า ถ้าเมื่อไรคนพุทธเหลือ ๙๐% ก็จะเริ่มเดือดร้อน ปัญหาต้องเกิดขึ้น ตอนนี้เหลือ ๙๔% กว่าๆ ก็มีเค้าว่าจะเริ่มร้อนแล้ว

ย้อนไปแค่ช่วง ๔-๕ ปีก่อนนี้ ปัญหาก็เริ่มตั้งเค้าขึ้นแล้ว เช่นมีพระองค์หนึ่งมาจากนราธิวาส และได้เล่าเรื่องความเป็นไปในจังหวัดของท่าน ด้วยความเป็นห่วงว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรหนอ สมัยท่านเป็นเด็ก จะเป็นเด็กพุทธหรือเด็กมุสลิม ก็เรียนหนังสือด้วยกัน โตมาด้วยกัน เป็นเพื่อนกันตั้งแต่เล็ก ตอนเป็นเด็กจะถือศาสนาไหนๆ ก็ไม่รู้จักแบ่งแยก เพราะฉะนั้นก็เป็นเพื่อนกันสนิทเรื่อยมา พอโตแล้วอยู่ด้วยกัน ก็พูดคุยกันดี มีบรรยากาศที่สบาย

ทีนี้ต่อมาตอนหลัง เขาแยกให้เด็กเรียนกันคนละโรงเรียน เมื่อแยกกันตั้งแต่เด็ก ก็เริ่มมีปัญหา กลายเป็นคนละพวกแล้ว โน่นพุทธ นั่นมุสลิม ท่านจึงวิตกกังวลว่า ต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น ปัญหาก็ได้เริ่มมีขึ้นมาเรื่อย ๆ อย่างในบางท้องที่ของเมืองใต้นั้น พระไปบิณฑบาตในบางถิ่นมีคนมุสลิมมาก เดี๋ยวนี้ถูกเด็กวัยรุ่นโห่เอาแล้ว บางแห่งไปมีการถ่มน้ำลาย อันนี้เป็นเรื่องที่แสดงว่าสถานการณ์ทางสังคมได้เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นเรื่องในทางที่ไม่ดี และนับว่าเป็นภัยชนิดหนึ่งเหมือนกัน

ที่เป็นอย่างนี้ เราพูดได้ว่า ชาวศาสนาอื่นไม่ได้คิด ไม่ได้มองอย่างชาวพุทธ จะยกตัวอย่างเรื่องหนึ่งที่เป็นข่าวใหญ่ระดับโลกเมื่อไม่กี่เดื อนมาแล้ว คือเรื่องกรณีทาลีบัน

พวกทาลีบันซึ่งเข้าปกครองประเทศอัฟกานิสถาน ได้ใช้ปืนใหญ่และใช้ลูกระเบิดทำลายพระพุทธรูปที่มีมาเป็นพันๆ ปีแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นสมบัติของโลก

ในทางประวัติศาสตร์ อาฟกานิสถานเคยเป็นดินแดนพระพุทธศาสนา เรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาแห่งหนึ่ง อยู่แถว ๆ อาณาจักรกุษาณของพระเจ้ากนิษกะ ที่พามิยานมีพระพุทธรูปใหญ่สูง ๕๓ เมตร และ ๓๕ เมตร ซึ่งแกะสลักอยู่ที่ภูเขาเมื่อราว พ.ศ. ๘๐๐ มาถึงตอนนี้ ทั้ง ๒ องค์ ก็ถูกผู้ปกครองชาวมุสลิม พวกทาลีบันทำลายลงไป

ความจริงในประวัติศาสตร์เขาเคยทำลายมาแล้วหลายครั้ง แต่สมัยก่อนยังไม่มีอุปกรณ์ที่ทันสมัยอย่างนี้ เขาทำลายได้แค่เอาฆ้อนเหล็กไปต่อยไปทุบ

อย่างในอินเดีย ชาวพุทธไปนมัสการสังเวชนียสถาน ก็จะเห็นพระพุทธรูปในที่ต่างๆ โดยเฉพาะในที่ๆ เปิดเผยเห็นได้ง่าย พระพุทธรูปจะถูกทำลายแบบว่า ถ้าเป็นศิลาใหญ่หน่อย ก็ต่อยที่พระนาสิกคือจมูก ให้เสียโฉม เพราะแข็งแรงและมีมากมาย เขาทำลายไม่ไหว

สมัยก่อนไม่มีอุปกรณ์ใหญ่โตที่จะทำลาย ก็ทำได้แค่นั้น คือทำลายที่พระนาสิก เป็นอย่างนี้ทั่วไปหมด แต่เวลานี้เขามีเครื่องมือทำลายที่ร้ายแรง มีระเบิด มีปืนใหญ่ จึงทำลายได้หมดสิ้น

เมื่อเกิดกรณีทาลีบันขึ้นมา ก็ต้องดูว่าชาวพุทธก็ตาม ชาวโลก และโดยเฉพาะชาวมุสลิมก็ตาม จะมีความรู้สึกแสดงออกอย่างไร ซึ่งจะเป็นสัญญาณบ่งชี้ในการที่จะมองสถานการณ์ ซึ่งหมายถึงแนวโน้มต่อไปในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร

เราไม่ใช่มองด้วยอารมณ์โกรธเกลียด แต่เราควรพิจารณาในแง่ว่า คนที่มีแนวความคิดอย่างนี้ ที่เขาทำอย่างนี้ได้นั้น จิตใจเขาเป็นอย่างไร เขานึกคิดต่อผู้อื่นอย่างไร ไม่ใช่มองแค่สถานการณ์เฉพาะหน้า แต่ต้องมองไปในอนาคตว่า เมื่อเขายังมีความคิด มีความเชื่อ และมีสภาพจิตใจอย่างนี้ อะไรจะเกิดขึ้นต่อไป นี่เป็นเรื่องที่สำคัญ

เท่าที่ดูแล้ว ชาวพุทธก็มีบ้างที่ตื่นตัว แต่ว่าน้อย แล้วในฝ่ายชาวมุสลิม เราก็ได้ยินว่ามีชาวมุสลิมที่แสดงความไม่เห็นด้วย อย่างอาจารย์ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก็เขียนลงในหนังสือพิมพ์แสดงความไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ใช่คำแถลงหรือแสดงมติที่ออกจากองค์กรใหญ่ของชาวมุสลิม ซึ่งควรจะแสดงให้เห็นท่าทีที่ชัดเจน

แต่ชาวมุสลิมบางคนก็พูดในทางตรงข้าม ซึ่งอาตมาจะอ่านให้ฟังเป็นตัวอย่าง ข้อเขียนนี้เขาส่งไปลงในหนังสือพิมพ์ สยามรัฐสัปดาห์วิจารณ์ (ฉบับที่ได้รับมาเป็นถ่ายเอกสาร จะต้องค้นดูอีกทีว่าวันที่เท่าไร) เขาเขียนหัวข้อเรื่องว่า ?เวรกรรมของทาลีบัน? เนื่องจากเป็นข้อเขียนยาว จึงจะอ่านเฉพาะบางส่วน

เรื่องการทำลายพระพุทธรูปของพวกทาลีบันที่ผ่านมานั้น อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องของศาสนิกชนอื่น ที่ไปทำลายศาสนสถานของชาวพุทธ ซึ่งพระพุทธรูปเป็นที่เคารพสักการะสำหรับศาสนาของเขา

ชาวมุสลิมคนนี้เขียนต่อไปว่า

สิ่งที่เขาทำอาจเป็นสิทธิของเขา ที่ไม่มีใครไปว่าเขาได้ เราก็มีสิทธิ์แค่ออกความเห็นและวิจารณ์ เขาจะฟังหรือไม่ฟังก็เป็นเรื่องของเขา เพราะเขาทำในบ้านของเขา ถ้ามุสลิมไทยมีรูปเจว็ดในบ้านเราก็ต้องกำจัด ท่านวันนอร์ของเราก็เปลี่ยนแปลงห้องรัฐมนตรี โดยการยกพระพุทธรูปออกไป และอดีตรัฐมนตรีว่าการฯ ต่างประเทศ ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ ก็ยกพระพุทธรูปออกจากห้องทำงานเหมือนกัน การที่จะให้อิสลามเป็นสากลไม่ได้หมายความว่าจะยืดหยุ่นได้ทุกๆ เรื่อง อิสลามเป็นศาสนาที่สร้างสรรค์ไม่ใช่ทำลาย บางครั้งการทำลายอาจเป็นสาเหตุจากการสร้างสรรค์ ศาสดามูฮัมหมัดก็เคยทำสิ่งเดียวกัน บรรดาเทวรูปต่างๆ ที่อยู่ในเมกกะถูกทำลาย แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นนั้นก็ทำให้สังคมรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียว

นี้คือท่าทีที่เป็นตัวอย่าง เขามองประเทศอาฟกานิสถาน เป็นบ้านเฉพาะของชาวมุสลิมเท่านั้น ถ้าอย่างนี้ก็ลำบาก หมายความว่า คนถือศาสนาอื่น ทั้ง ๆ ที่เกิดที่นั่น ก็ไม่มีบ้าน ไม่มีสิทธิ อย่างนี้ก็ต้องอยู่บ้านคนเดียว

นอกจากนั้น คำว่า ?สากล? ที่ชาวมุสลิมท่านนี้เขียน ก็เห็นได้ว่า มิใช่หมายถึงการทำให้คนทั้งหลายทั่วไปทั้งหมดเข้าใจ ศาสนาอิสลามถูกต้องแล้วเห็นชอบยอมรับทั่วกัน อย่างที่เราเข้าใจ แต่หมายถึงการที่จะต้องให้ทุกคนและทุกอย่างเป็นไปตามที่ศาสนาอิ สลามกำหนด ไม่ว่าใครจะพอใจหรือยอมรับหรือไม่

ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่เราจะต้องมองด้วยความรู้ความเข้าใจและไ ม่ประมาทว่า ถ้าคนมีสภาพจิตใจและความคิดอย่างนี้ จะเกิดอะไรขึ้นต่อไปในระยะยาว

คนไทยชอบยกย่องนับถืออเมริกา แต่น้อยคนนักหนา จะรู้จักอเมริกาสักหน่อย
ขอเล่าไปเรื่อยๆ ยกตัวอย่างประเทศมาเลเซียเมื่อประมาณ ๑๕ ปีมาแล้ว วันหนึ่งมีคนมาเลเซียมาที่วัด เขาเข้ามาหาและบ่นวิตกกังวลว่า ตอนนี้ประเทศมาเลเซียประกาศให้ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ เป็น State Religion แล้ว ก็เริ่มจะมีปัญหาเรื่องการศึกษาเล่าเรียน มีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องหลักสูตรอะไรต่างๆ

เขาถามแสดงความสงสัยและไม่พอใจขึ้นมาเองว่า ทำไมพวกนี้ถือโอกาสเอาศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ทั้ง ๆ ที่คนมุสลิมในมาเลเซียมีแค่ ๔๙ % เท่านั้น รัฐบาลกลับประกาศว่า มี ๕๑ % ให้ถือว่าเป็นคนส่วนใหญ่ ที่จริงมุสลิมมีแค่ ๔๙ % แต่รัฐบาลบอกว่ามี ๕๑ % แล้วอ้างว่าเป็นเสียงข้างมาก และประกาศให้ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ

(ในด้านตำรา ปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๔๕ สถิติของ MS Encarta Encyclopedia 2002 ว่ามาเลเซียมีศาสนิกมุสลิม ๕๓% พุทธ ๑๙% คริสต์ ๑๑% ฮินดู ๘% และอื่นๆ ๙%)

เราก็มาคิดว่า ที่จริงนั้นไม่สำคัญหรอก จะเป็น ๔๙% หรือ ๕๑% ถึงจะ ๕๑% หรือแม้แต่ ๖๐% ว่าเกินครึ่ง เป็นส่วนมาก แล้วแค่นี้เอาเป็นศาสนาประจำชาติ ก็แปลกแล้ว ทำไมเขาถืออย่างนั้นได้ จุดที่ควรมองอยู่ที่ว่า ความคิดจิตใจของเขาเป็นอย่างไร จะเห็นว่าคนในประเทศไทยกับประเทศต่างๆ ที่ยกมานี้มีความคิดไปคนละแบบ

แม้แต่ประเทศที่ยกย่องกันว่าพัฒนาสูงเยี่ยม เช่นประเทศอเมริกา ที่บอกว่าเขาเป็นประเทศที่มีเสรีภาพทางศาสนา ถึงกับแยกรัฐกับศาสนา ถ้าเราสังเกตก็จะเห็นว่า เขาแยกแบบครึ่ง ๆ กลาง ๆ หรือแบบรักพี่เสียดายน้อง

ยกตัวอย่างเช่น เวลาประธานาธิบดีอเมริกาเข้ารับตำแหน่ง มีพิธีปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่ง หรือ Inaugural ทั้ง ๆ ที่ประเทศอเมริกามีชาวคริสต์อยู่ราว ๆ ๘๕% เป็นโปรเตสแตนต์ ๖๐% เป็นคาทอลิก ๒๐ กว่าเปอร์เซนต์ แต่เวลาทำพิธีปฏิญาณตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีต้องสาบานตัวก ับคัมภีร์ไบเบิล ต้องเอามือทาบบนคัมภีร์ไบเบิล แล้วกล่าวลงท้ายว่า So help me God.

แม้แต่พิธีสาบานธง (Pledge of Allegiance to the Flag) ซึ่งเป็นการแสดงความภักดีต่อชาติอเมริกัน เขาก็มีกฎหมายออกมา ซึ่งรัฐสภากำหนดคำสำหรับปฏิญาณตนไว้ ตอนหนึ่งว่า One nation under God คือ ประเทศอเมริกาเป็นประเทศหนึ่งเดียวภายใต้พระผู้เป็นเจ้า

ถ้าถามว่าประเทศอเมริกามีศาสนาประจำชาติไหม ตามหลักฐานนี้ก็บอกได้เลยว่ามี หรือเขาถือศาสนาไหนเป็นศาสนาประจำชาติ ก็ตอบได้เลยว่าถือศาสนาคริสต์เป็นศาสนาประจำชาติ แม้เขาจะบอกว่าในรัฐธรรมนูญเขาให้รัฐกับศาสนาแยกกัน ก็เป็นเรื่องมีเบื้องหลัง คือ เขาต้องแยกรัฐกับศาสนาเพราะเรื่องความขัดแย้งของคาทอลิกกับโปรเ ตสแตนต์ และเพราะโปรเตสแตนต์ที่มีหลายนิกายทะเลาะกัน จะเอาอันไหนเป็นใหญ่ไม่ได้

(ที่จริงในตัวรัฐธรรมนูญแท้ๆ ก็ไม่มีคำที่บอกว่าแยกรัฐกับศาสนา ที่บอกว่า separation of/between church and state นั้น ที่จริงเป็นการแปลความหมายของ Jefferson)

การที่อเมริกาประกาศให้มีเสรีภาพทางศาสนา และบอกว่า แยกรัฐกับศาสนานั้น อย่าไปเข้าใจว่าเป็นเรื่องศาสนาทั้งหลาย ความจริงเป็นเรื่องระหว่างคริสต์กันเอง คือ คาทอลิกกับโปรเตสแตนต์ อย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่ง โปรเตสแตนต์ที่ต่างนิกายกันเป็นร้อยๆ นิกายลงกันไม่ได้นั่นต่างหาก ปัญหาเขาอยู่ที่นั่น คือเขามีนิกายมากมาย แล้วเขาตกลงกันไม่ได้ เลยทะเลาะกัน

อนึ่ง ด้วยเหตุที่ว่าแม้เพียงระหว่างศาสนาเดียวกันแต่ต่างนิกาย เขายังทะเลาะรุนแรงขนาดนั้น จึงเป็นธรรมดาว่ากับศาสนาอื่น เขาย่อมยอมรับไม่ได้ ดังนั้นพวกยิวในอเมริกายุคก่อนนั้นจึงถูกกำจัดรุนแรงด้วย

หลายคนหลงไปตามเรื่องราวของอเมริกันที่มองกันไม่ชัด แล้วเข้าใจผิดว่า การแยกรัฐกับศาสนา และการมีเสรีภาพทางศาสนา เป็นเรื่องเดียวกัน ซึ่งที่จริงไม่ใช่

ยิ่งกว่านั้น ยังมักเข้าใจผิดต่อไปอีกว่า การแยกรัฐกับศาสนาแบบอเมริกันนี้ เป็นความเจริญก้าวหน้าทางอารยธรรม แต่ที่จริงไม่ใช่เลย มันเป็นความติดตันของอารยธรรมต่างหาก (ถ้าไม่ถึงกับจะเรียกว่าเป็นความอับจนของอารยธรรมปัจจุบัน)

การแยกรัฐกับศาสนาของอเมริกันนี้ อย่างดีก็เป็นก้าวหนึ่งในอารยธรรมของเขาที่เดินหน้าไปหน่อย ด้วยวิธีตัดปัญหา คือเมื่อคนยังใจแคบกันนัก ยอมรับความจริงกันไม่ได้ และจะแก้ไขจิตใจคนก็ไม่ได้ ก็ตัดปัญหาเสียเลย ด้วยการไม่ยุ่งเกี่ยวกัน เพราะในเรื่องนี้จิตใจคนยังพัฒนาไม่พอ ถ้าเข้าไปเกี่ยวข้องก็จะต้องเกิดเรื่อง ก็เลยเอาแค่สร้างกำแพงขวางกั้น (อย่างที่ Jefferson ว่า) ปล่อยปัญหาไว้อย่างนั้น ไม่จัดการมัน (เหมือนกับบอกว่า ดูภูมิหลังพวกฉันสิ ฉันทำได้แค่นี้แหละ)

แต่ก็ปรากฏว่ากำแพงที่เขาก่อไว้นี้ ก็ก่อปัญหาแก่อเมริกาเองยังไม่จบ(ตัวแท้ของปัญหาอยู่ในใจของคน ซึ่งกฎหมายแก้ไม่ได้)

พูดสั้นๆ ว่า การปฏิบัติของอเมริกันในเรื่องนี้ เป็นปรากฏการณ์ที่บ่งชี้ทั้งความติดตันของอารยธรรมมนุษย์ ที่ต้องแก้ปัญหานี้ด้วยวิธีแยกตัวออกมาไม่ยุ่งเกี่ยว และทั้งแสดงถึงปัญหาพื้นฐานคือการที่มนุษย์ทั่วไปมีจิตใจที่ยัง ไม่พัฒนาเพียงพอ

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าการที่จะพัฒนาจิตใจมนุษย์ทั่วโลกหรือส่วนใหญ่ให้ก ว้างขวาง เป็นจิตใจที่เสรีจริงถึงขั้นที่อยู่กับเพื่อนมนุษย์ด้วยเมตตาพร ้อมกับแสวงสัจธรรมด้วยปัญญาได้อย่างเต็มที่นั้น เป็นก้าวใหญ่ที่ยังไปถึงได้ยาก แต่นี่คือสิ่งท้าทายการพัฒนาอารยธรรมที่แท้จริง

นอกจากนี้ ที่พูดมาทั้งหมดนั้น มิใช่มุ่งหมายจะให้ชาวพุทธมาอ้างมาเถียงกับประเทศอื่นๆ ว่าที่โน่นที่นั่นเขายังอย่างนั้นอย่างนี้

แต่มุ่งให้รู้เท่าทันสถานการณ์ตามเป็นจริงว่ามนุษย์หรือชาวโลกย ังเป็นกันอยู่อย่างนี้ ซึ่งเราควรจะก้าวให้พ้นเลยต่อไป เพราะศักยภาพของชาวพุทธมีมากกว่านั้น เราสามารถสร้างสันติสุขที่แท้จริงให้แก่โลกได้ ตรงนี้สิเป็นงานที่เราควรจะคิดกันอย่างจริงจัง

แต่ทั้งนี้ก็ต้องปฏิบัติตามหลักที่พูดแล้วว่า ใจดีอยู่กับเขาโดยมีเมตตา แต่ก็ต้องปฏิบัติจัดการด้วยปัญญา และอยู่ด้วยความไม่ประมาท

แม้แต่ freedom of religion และ separation of church and state คนไทยอ่านแล้วก็ไม่ได้เข้าใจความหมายและความมุ่งหมายเหมือนอย่า งที่ผู้สร้างกฎหมายของอเมริกาเข้าใจ เพราะต่างก็คิดไปตามภูมิหลังของตัว (เรื่องนี้ต้องมีเวลาว่ากันอีก)

หันกลับมาเรื่องเฉพาะหน้าก่อน บางทีเราไม่รู้ภูมิหลัง ไปเห็นแต่เพียงตัวหนังสือว่า อเมริกามีเสรีภาพทางศาสนา ให้ศาสนากับรัฐไม่ต้องเกี่ยวข้องกัน ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นมาอย่างไร แล้วจะเอาวิธีนี้มาใช้กับประเทศไทย โดยไม่เข้าใจภูมิหลัง สิ่งที่จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติก็ไม่เกิดขึ้น กลายเป็นว่า เอาสิ่งที่เป็นโทษมายัดเยียดใส่ประเทศของตัวเอง

นายกรัฐมนตรีไทย เวลาเข้ารับตำแหน่ง ถ้าจะเอาอย่างอเมริกา น่าจะมีพิธีทางพระพุทธศาสนาบ้าง อย่างอื่นเอาอย่างอเมริกา แต่อย่างนี้ไม่เอา

ตามประเพณีของเรา ในพิธีบรมราชาภิเษก มีการประกาศราชธรรมต่างๆ คือ หลักการปกครองแผ่นดินตามคำสอนของพระพุทธศาสนา ทั้งทศพิธราชธรรม จักรวรรดิวัตร ราชสังคหวัตถุ และขัตติยพละ เมื่อเรามาเป็นประชาธิปไตย เราไม่ได้นำวัฒนธรรมประเพณีนี้มาสืบต่อ ทำไมเราจึงละเลยเสีย เป็นเรื่องที่ควรจะต้องพิจารณา

อาจจะพูดเชิงล้อหน่อยว่า นี่เป็นตัวอย่างระดับชาติของการที่คนไทยเวลานี้ จะเอาอย่างอเมริกาก็ทำไม่ได้ จะรักษาความเป็นไทยก็เอาไว้ไม่อยู่*

กลมกลืนกันมา กลมกลืนกันไป ฝ่ายที่ไม่รู้ตัว ก็จะหัวหายไปเอง
อีกเรื่องหนึ่งที่ได้พูดไว้แต่ต้น คือได้บอกว่า เมื่อปี ๒๕๒๕ มีเรื่องตื่นเต้นกันใหญ่ ชาวพุทธลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวกันพักหนึ่ง แล้วก็เงียบ ๆ ไป คือกรณีที่เรียกว่า Vatican Council II หรือการประชุมมหาสมัชชาวาติกัน ครั้งที่ ๒ เรื่องนี้ไปอย่างไรมาอย่างไร จะเล่าให้ฟังเสียด้วย

ย้อนหลังไปเกือบ ๒๐ ปีแล้ว ตอนนั้นชาวพุทธบางท่านได้ไปเจอเอกสารของคริสต์จากองค์กรที่เรีย กว่า Secretariat for Non-Christians คือสำนักเลขาธิการเพื่อ(ปฏิบัติต่อ)คนที่มิใช่ชาวคริสต์ เป็นเอกสารลับ เขาบอกว่าเป็น confidential ซึ่งเขาใช้สำหรับสื่อกันระหว่างพวกบิชอพคาทอลิกที่ทำงานอยู่ในป ระเทศต่างๆ ทั่วโลก

ในเอกสารนี้ก็ไปพบนโยบายใหม่ของคาทอลิกที่จะปฏิบัติต่อศาสนาอื่ น ๆ ซึ่งทำให้รู้ว่าเวลานี้ทางคาทอลิกได้เปลี่ยนนโยบาย

ขอทำความเข้าใจว่า ก่อนหน้านี้ ทางชาวคริสต์คาทอลิก โดยเฉพาะบาทหลวง เวลาเผยแผ่ศาสนาจะใช้วิธีพูดจารุนแรง คือใช้วิธีด่าว่าโจมตี อย่างสมัยก่อน ถ้าเป็นญาติโยมที่อายุมาก ๆ จะได้ยิน เช่นที่สนามหลวง จะมีพวกนักเผยแพร่ศาสนาคริสต์ขึ้นไปยืนบนแท่น แล้วก็โจมตีพระพุทธศาสนาด่าว่าต่าง ๆ ต่อมาภาพนี้หายไป แล้วมีการเปลี่ยนแปลงในทางที่เข้ามาเป็นมิตร

ทีนี้ชาวพุทธก็ไปพบเอกสารลับนี้ขึ้น อันสืบเนื่องมาจาก Vatican Council ครั้งที่ ๒ ซึ่งเขาประชุมกันในปี ๑๙๖๒-๑๙๖๕ ตรงกับ พ.ศ.๒๕๐๕?๒๕๐๘ แต่เรามาเจอหลังจากนั้นตั้งนาน จึงรู้ว่าเขาเปลี่ยนนโยบาย โดยตัวเองก็แปลกใจว่าชาวคริสต์บาทหลวงทำไมเข้ามาสัมพันธ์กับชาว พุทธอย่างดี จนกระทั่ง แม้แต่ที่กรมการศาสนาก็ถึงกับตั้งเป็นหน่วยงานเรียกว่า ?ศูนย์ศาสน-สัมพันธ์?

คำว่าศาสนสัมพันธ์นี้แปลจากภาษาอังกฤษที่ทางคาทอลิก ใช้ว่า dialog (สะกดแบบอังกฤษเป็น dialogue) ซึ่งปกติแปลกันว่าเสวนา หรืออะไรทำนองนี้ แต่ในกรณีนี้เขาแปลว่าศาสนสัมพันธ์

ที่กรมการศาสนาตั้งหน่วยนี้ขึ้น ก็เพื่อให้ทางคริสต์และทางพุทธ อะไรต่างๆ ได้มาประสานและมีความกลมเกลียวเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

เมื่อเราไปเจอเอกสารลับนี้ จึงเข้าใจได้ว่าเขาเปลี่ยนนโยบายในการเผยแผ่ศาสนาเนื่องจากเหตุ ผลที่ว่า ในโลกปัจจุบันนี้การที่จะมาใช้วิธีโจมตีด่าว่ามันไม่ได้ผลแล้ว

อย่างในเมืองไทยเอง บาทหลวงเขาก็รู้อยู่แก่ใจ ถึงกับพูดว่า ในเมืองไทยนี้ศาสนาคริสต์เข้ามาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหา ราชราวสามร้อยปีแล้ว มาถึงปัจจุบันนี้มีคนไปเป็นคริสต์อยู่แค่แสนกว่า เวลาที่ผ่านไปยาวนานหลายร้อยปี และทุนมากมายมหาศาลที่ใช้ไปนี้ เมื่อเอามาเทียบกับผลที่ได้ ต้องถือว่าไม่ได้ผลเลย เพราะฉะนั้นการที่จะใช้วิธีอย่างเก่านี่ เลิกได้แล้ว จึงเปลี่ยนแปลง

ที่หน่วยกลางคือวาติกันเอง มีการเปลี่ยนนโยบายตามผลการประชุมใหญ่ครั้งนี้ โดยให้ใช้วิธี dialog ให้มีการวิสาสะกัน ให้ใช้วิธีที่เรียกว่า assimilation เรียกว่าการกลมกลืน

นโยบายกลมกลืนก็มีตัวอย่างให้ดูในเอกสารนั้น ซึ่งพอดีเขาพูดถึงวิธีปฏิบัติในประเทศไทยด้วย ในเอกสารที่เป็น bulletin นั้นมีบอกหมด แม้กระทั่งรายงานว่า ประเทศไทยเวลานี้ มีสถานการณ์เป็นอย่างไร เช่น องค์การพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งโลกมีสถานะอย่างไร พุทธสมาคมเป็นอย่างไร ทำงานได้ผลหรือไม่ พระสงฆ์เป็นอย่างไร ชาวไทยเป็นอย่างไร เขาควรจะปฏิบัติอย่างไรจึงจะได้ผลดี

ในเอกสารที่ว่านี้สรุปก็คือ เขาบอกวิธีปฏิบัติ ว่าจะต้องใช้วิธีกลมกลืนทุกด้าน (ไม่ใช่แค่กลมเกลียว แต่เป็นกลมกลืน) เริ่มตั้งแต่ในแง่คำสอนทางศาสนา ก็ให้คนที่เก่งของคริสต์ไปเรียนหลักธรรมของพระพุทธศาสนาไป แล้วให้เอามาใช้ในคริสต์ศาสนา ตลอดจนพิธีกรรมต่าง ๆ ก็นำไปใช้

ตอนนั้นปรากฏว่ามีการนำพิธีกรรมแบบพุทธไปใช้เพิ่มขึ้นๆ ซึ่งคงจะเป็นการทดลองตามวิธีกลมกลืนแบบนี้ ซึ่งหลายพิธีกรรมเดี๋ยวนี้ก็ยังมีอยู่ ดังที่ปรากฏว่าปัจจุบันนี้ชาวคริสต์ มีการทอดผ้าป่า ส่วนทอดกฐินมีหรือไม่ คงต้องถามญาติโยมที่รู้ดูอีกที

ตอนหนึ่งถึงกับพยายามใช้วิธีบวชแบบพุทธเลย คล้าย ๆ มีการขานนาคและมีคู่สวด มีอะไรต่างๆ คือ เขาพยายามลองดูว่าอันไหนได้ผล ก็ทำต่อ อันไหนไม่ได้ผลก็เลิกไป แต่ทอดผ้าป่ายังทำอยู่ นี้เป็นตัวอย่าง

นอกจากนั้นเขายังนำเอาแบบแผนเรื่องการก่อสร้าง สถาปัตยกรรมไปใช้ โดยออกแบบให้มาเป็นคล้าย ๆ แบบไทย และเป็นแบบพุทธ พร้อมทั้งนำโต๊ะหมู่บูชาเข้าไปใช้ ซึ่งเดี๋ยวนี้ทราบว่านำเอาโต๊ะหมู่แบบของในวัดพระพุทธศาสนาไปใช ้ในโบสถ์คริสต์ โดยเอาไปตั้งไม้กางเขนแทนพระพุทธรูป บางทีบางแห่งเอาพระพุทธรูปไปตั้งข้าง ๆ ด้วย

อันนี้เป็นเรื่องของวิธีการกลมกลืน ซึ่งเขาได้ปฏิบัติกันมาหลายปีแล้ว ซึ่งชาวพุทธไม่ค่อยรู้เรื่อง เพราะไม่ได้สังเกตหรือมัวเพลินประมาท อาจจะมองไปในแง่ดีว่าเขามาเป็นมิตรกับเรา

บาทหลวงคริสต์ เอานิพพานเป็นอัตตา เพื่อให้พระพุทธศาสนากลายเป็นคำบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้า
นอกจากในภาคปฏิบัติแล้ว เราก็เจอในแง่คำสอน มีเอกสารของสถาบันคริสต์ออกมาพูดถึงนโยบายเกี่ยวกับคำสอน เขาวางวิธีการนำเอาหลักธรรมของพุทธศาสนาไปอธิบายแบบคริสต์ เขาบอกว่า เขาใช้แนวการอธิบายคริสต์ศาสนาแก่ชาวพุทธ โดยใช้ศัพท์และหลักธรรมของพุทธศาสนา อันนี้เขาตั้งไว้เป็นหลักในเอกสารประจำของเขา แล้วพยายามทำตามวิธีการนั้น

มีบาทหลวงหลายท่านพยายามทำอย่างนี้ เป็นการใช้นโยบายที่จะทำพุทธกับคริสต์ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวก ันอย่างที่บอกเมื่อกี้ คือใช้วิธีกลมกลืน แต่ที่จริงไม่ใช่แค่กลมกลืนหรอก เป็นการครอบเลย

การครอบก็คือ เอาพุทธเข้าไปไว้ข้างใน แล้วเอาคริสต์เป็นใหญ่ คลุมทั้งหมด

การเอาคริสต์เป็นใหญ่ก็คือ ให้พระพุทธเจ้าเป็นคนที่พระเจ้าส่งมา เพราะฉะนั้นในเอกสารของคริสต์ตอนนั้นจึงมีการแต่งเรื่องออกมาชั ดเจนเลย บอกว่า พระพุทธเจ้านี้เป็นประกาศกที่พระผู้เป็นเจ้าได้ส่งมา เพื่อมาเตรียมชาวตะวันออกไว้ต้อนรับพระเยซู เพราะว่าพระพุทธเจ้าอยู่ในสมัยก่อนพระเยซูประมาณ ๕๐๐ ปี คือ ๕๔๓ ปี (แต่ที่จริงไม่ใช่แค่ ๕๔๓ ปีหรอก เรานับพุทธศักราชจากพุทธปรินิพพาน ต้องบวกเข้าไปอีก ๘๐ ปี เป็น ๖๐๐ กว่าปี)

บาทหลวงคริสต์เขาให้ถือว่า พระพุทธเจ้านี้ พระผู้เป็นเจ้าส่งมาเพื่อเตรียมรับพระเยซู เรียกว่าให้เตรียมชาวตะวันออกไว้ต้อนรับพระเยซู และมีการนำเอาธรรมะของพุทธศาสนาไปอธิบายให้เข้ากับคริสต์ ให้เป็นว่าที่พระพุทธเจ้าสอนนี้เป็นเรื่องของพระเจ้าสั่งมาให้ส อน ดังที่จะอ่านให้ฟังเป็นตัวอย่าง

บาทหลวงมนัส จวบสมัย เขียนไว้ในวารสาร แสงธรรมปริทัศน์ ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๒ พฤษภาคม-สิงหาคม ๒๕๒๔ หน้า ๑๐๒-๑๐๔ บอกว่า

ปฐมเหตุของสรรพสิ่งคือพระเจ้า พระผู้สร้าง พระองค์ คือองค์สยมภู เป็นผู้สร้างสากลจักรวาล และทรงตั้งกฎปฏิจจ-สมุปบาทขึ้นเพื่อครองโลก พระผู้เป็นเจ้าตั้งกฎปฏิจจสมุปบาทขึ้นเพื่อครองโลก ปฏิจจสมุปบาทคือแผนการของพระเจ้า ที่มีต่อโลกและมนุษย์ พระเจ้าทรงไขแสดงให้พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และนำมาตีแผ่

นี่คือวิธีที่ว่ากลมกลืน โดยรวบรัดให้เป็นว่า ที่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้นี้ก็เพราะพระผู้เป็นเจ้าไขแสดงให้ ถ้าใช้ศัพท์ฝรั่งก็คือ Revelation คือ God ของเขา ไขแสดงให้พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และนำมาตีแผ่

หลักอื่นก็ทำนองเดียวกัน อย่างเรื่องไตรลักษณ์ บาทหลวงจะอธิบายนำเป็นแนวทางว่า ชาวคริสต์หรือบาทหลวงผู้เผยแผ่จะนำเอาธรรมะของพุทธไปใช้ได้อย่า งไร เขาอธิบายว่า อนิจจังในคัมภีร์ไบเบิลก็สอนไว้ว่าอย่างนี้ ทุกขังก็สอนไว้ว่าอย่างนี้ อนัตตาก็สอนไว้ว่าอย่างนี้

อาตมาอ่านแล้วตอนนั้นก็ไปค้นดูว่า คัมภีร์ไบเบิลมีสอนอย่างนี้จริงหรือเปล่า ไปดูแล้ว ไม่เห็นน่าจะแปลอย่างนั้นเลย ไม่รู้เขาแปลได้อย่างไร ตรงนี้แปลเป็นอนิจจัง ตรงนั้นแปลเป็นทุกขัง เขาแปลไปจนได้ ทั้งที่เนื้อความและถ้อยคำไปกันไม่ได้เลย

อนัตตาเขาบอกว่าคริสต์ก็มี เสร็จแล้วเขาก็พูดไป ๆ สรุปได้ความว่า ในพุทธศาสนานั้น พระพุทธเจ้าสอนไปได้ถึงแค่อนัตตา คือสอนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้ จบแค่นั้นแล้ว ต้องอาศัยรอพระเยซูมาสอนอัตตาอีกทีหนึ่ง คือพระเยซูนี้มาทำให้จบ ต้องไปสู่อัตตาของพระเยซูอีกที

อาตมาจะอ่านให้ฟังสักตอนหนึ่ง อันนี้มาจากหนังสือสัปดาห์สาร นิตยสารรายสัปดาห์ พิมพ์โดยโบสถ์นักบุญยอแซฟ อ.บ้านโป่ง ราชบุรี เขียนว่า

พระเจ้าทรงใช้พระธรรมสร้างทุกสิ่ง พระธรรมนั้นมาเกิดเป็นมนุษย์แท้ (หมายถึงพระธรรมมาเกิดเป็นพระเยซู) พระธรรม องค์นิจจัง สุข อัตตา มาเกิดเป็นมนุษย์ ซึ่งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เพื่อมนุษย์จะได้รับสภาพ นิจจัง สุข อัตตา จากพระธรรม พระธรรมเป็นบุตรองค์เดียวจากพระเจ้า มนุษย์ที่รับสภาพนิจจัง สุข อัตตา เมื่อคริสตชนถึงแก่ความตาย อนัตตาก็สูญสิ้นไปเหลือแต่อัตตาในโลกุตตระ ซึ่งเป็นนิจจังและสุขอย่างสมบูรณ์

นี้เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าเขาได้เอานโยบายมาปฏิบัติจริงอย่างนี ้ คือเอาธรรมะในพุทธศาสนานี้ มาอธิบายใหม่ให้เป็นของคริสต์ศาสนา แต่มีนโยบายไว้ชัดว่าต้องให้คริสต์สูงกว่า คือ เอาพุทธไปอยู่ในนั้นอีกทีหนึ่ง เรียกว่าเป็นวิธีครอบ

ที่พูดมานี้เป็นเรื่องที่ว่าควรจะรู้ อาตมาคิดว่าชาวพุทธไม่เคยรู้ ทั้งๆ ที่เป็นเหตุการณ์ที่เคลื่อนไหวกันครั้งใหญ่ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๕ คือ ๑๙ ปีมาแล้ว แล้วก็เงียบหายไป ไม่ได้มีการเอาจริงเอาจังอะไร กลายเป็นเรื่องตูมตามหรือไฟไหม้ฟาง แล้วก็จบไป

ถึงได้บอกว่า มาถึงเวลานี้แทบจะสายเกินไปหรือเปล่า ที่เราจะมาตื่นตัวกัน เพราะว่าเวลานี้อะไรต่ออะไรมันไปไกลมากแล้ว

By : วรากร   ( IP : 203.113.34.xxx ) (Read 567 | Answer 2 2007-04-14 07:45:55 )
 

ความคิดเห็นที่1  

ธงชาติไทยมี 3 สี สีแดงหมายถึงชาติ สีขาวหมายถึงศาสนา สีน้ำเงินหมายถึงพระมหากษัตริย์ ท่านพุทธทาสเคยกล่าวว่า ธงชาติไทยควรมี 4 สี สีที่4 หมายถึงรัฐธรรมนูญ ควรมีธงจตุรงค์แทนธงไตรรงค์ ( ปาฐกถาธรรมทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน 2527 หัวข้อ ? เรามีสิ่งชักนำให้ศาสนาคุ้มครองชาติ:โชคดีที่มีมหากษัตริย์ทำหน้าที่ชักนำ ? ) ปัจจุบันอำนาจบริหารประเทศ อยู่ที่รัฐบาลภายใต้กฎหมายสูงสุดคือรัฐธรรมนูญ ไม่เหมือนสมัยก่อนที่ พระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจสูงสุด โดยพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ของไทยที่ผ่านมา ทรงเป็นพุทธมามกะ ทรงส่งเสริมสนับสนุน เน้นคุณค่าและความสำคัญของพุทธศาสนามาตลอดทุกพระองค์ โดยทรงผนวชด้วย แต่ก็มิได้กีดกันการนับถือศาสนาอื่นของประชาชนแต่อย่างใด แม้จะมีศาสนาอื่นมาชวนให้เข้ารีต ก็มิได้ทรงเปลี่ยนพระราชหฤทัย ยังทรงศรัทธาและยึดมั่นในพระพุทธศาสนาเสมอมาทำให้ประเทศอยู่ร่มเย็นเป็นปึกแผ่นมาจนถึงรุ่นเรา แต่ที่ผ่านมา รัฐธรรมนูญฉบับพ.ศ.2540 ที่ว่ากันว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดนั้น ในมาตรา 38 มาตรา 73 และมาตรา 106 มีการใช้ศัพท์ในศาสนาของเขา เพื่อเปิดช่องให้ออกกฎหมายลูก ( พ.ร.บ. 3 ฉบับ ) มาให้รัฐต้องส่งเสริมสนับสนุนศาสนาของเขาทุกด้าน รวมถึงเงินอุดหนุนด้วย ซึ่งพุทธศาสนาไม่เคยได้สิทธิเช่นนั้นเลย ชาวไทยพุทธโดยมากไม่รู้ผลที่จะตามมาจาก พ.ร.บ. 3 ฉบับดังกล่าวนั้น การที่ระบุในรัฐธรรมนูญว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะรวมถึงนายกรัฐมนตรีด้วย จึงเป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญมากของชาติไทย เพราะ ขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรม โบราณสถาน โบราณวัตถุ จะอิงกับพุทธศาสนาโดยมาก อีกทั้งคนไทยโดยมากนับถือพุทธศาสนา ตอนนี้ปัญหาความไม่สงบเริ่มมีให้เห็นมากขึ้นๆ หากไม่ตัดไฟแต่ต้นลม อนาคตแย่แน่ๆ เขาพยายามส่งคนของเขาเข้ามาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย และรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ เพราะเป็นผู้รักษาการตามพ.ร.บ.ดังกล่าวข้างต้น เราไม่ได้กีดกันศาสนาอื่นแค่ไม่ต้องการให้อนาคตของพุทธศาสนาในไทย ต้องเสื่อมสลายไปเหมือนในอินเดีย การระบุว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ไม่ได้หมายความว่า ศาสนาอื่นจะด้อยสิทธิกว่า เพียงเป็นการให้ความสำคัญแก่พุทธศาสนาที่มีคู่ชาติและพระมหากษัตริย์มาช้านาน และรักษาขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมไทยที่อิงกับพุทธศาสนานั่นเอง อยากรู้ให้ลึกกว่านี้ ลองติดต่อ ศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนา วัดราชาธิวาส สามเสน หรือที่ ศูนย์ส่งเสริมพระพุทธศาสนา วัดบวรนิเวศ บางลำพู ดู แล้วจะเข้าใจอะไรดีๆอีกเยอะ หรือดูที่ www.bpct.org

By : วรากร ( 2008-03-30 13:44:10 )
 

ความคิดเห็นที่2  

ดับ ?ไฟใต้? ด้วยนโยบายการศึกษาที่ถูกต้อง ดร.ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์ มหาวิทยาลัยมหิดล ?ประเทศไทยเป็นประเทศที่ให้เสรีภาพทางศาสนามากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก แม้ว่าคนไทยกว่า ๙๕ เปอร์เซ็นต์ เป็นชาวพุทธ แต่ก็มีความเกรงใจเพื่อนร่วมชาติที่นับถือศาสนาอื่นมาก จนไม่กล้าระบุในรัฐธรรมนูญว่า พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย (ซึ่งผิดกับประเทศมาเลเซียที่มีประชากรมุสลิมเกินครึ่งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ก็ประกาศว่าอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ ศาสนาอื่นจะประกาศคำสอนนอกเขตวัดหรือโบสถ์ของตนมิได้ อย่าว่าแต่จะมาออกอากาศทางโทรทัศน์หรือวิทยุเลย และเวลานี้ทางการมาเลเซียก็ประกาศห้ามสร้างวัดหรือโบสถ์ในศาสนาอื่นเพิ่มเติมอีก) ระบบราชการของไทยนั้นรับคนจากทุกศาสนาเข้าเป็นข้าราชการ โดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ นอกจากนี้บางหน่วยงานของรัฐยังถึงกับกำหนดโควตา (เพิ่มจำนวน) ให้เป็นพิเศษ เช่น ทหาร ตำรวจ เป็นต้น (ซึ่งผิดกับประเทศปากีสถาน ที่ข้าราชการทุกคนจะต้องเป็นมุสลิมเท่านั้น แม้ว่าประชาชนส่วนหนึ่งจะนับถือศาสนาอื่นก็ตาม) ในประวัติศาสตร์การเมืองของไทยยุคปัจจุบัน เราเคยมีประธานรัฐสภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ปลัดกระทรวงมหาดไทย ประธานกรรมาธิการฝ่ายต่างประเทศแห่งวุฒิสภา ฯลฯ ที่เป็นชาวมุสลิม รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งในการส่งเสริมศาสนาอิสลาม เช่นการสร้างมัสยิดกลาง การให้เงินประจำตำแหน่งแก่เจ้าหน้าที่ศาสนา (เทียบเคียงกับเงินประจำตำแหน่งของพระราชาคณะในพระพุทธศาสนา ทั้ง ๆ ที่ศาสนาอิสลามนั้นไม่มีสถาบันนักบวช) การอุดหนุนงบประมาณในการเดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ที่เมืองเมกกะ เป็นต้น เหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยได้ให้เสรีภาพในการนับถือศาสนาอย่างกว้างขวางที่สุดเท่าที่ประเทศหนึ่งๆจะพึงให้ได้ เมื่อประเทศไทยมีท่าทีที่เปิดกว้างในเรื่องศาสนาเช่นนี้แล้ว ชาวไทยมุสลิมก็น่าจะรู้สึกพอใจเป็นอย่างยิ่ง แล้วเหตุไฉนมุสลิมไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ๔ จังหวัดภาคใต้ จึงยังมีความรู้สึกแปลกแยกทั้งในเรื่องศาสนา สังคม และวัฒนธรรมอยู่อีก คำตอบน่าจะอยู่ที่นโยบายกระทรวงศึกษาด้านการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการในปัจจุบัน ดังได้กล่าวมาแล้วว่า ชาวพุทธไทยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศมีความเกรงใจชาวไทยศาสนิกอื่นเป็นอย่างมาก จนกระทั่งเรายินยอมที่จะตัดวิชา "พระพุทธศาสนา" (หรือศีลธรรม) ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นวิชาบังคับออกไปจากหลักสูตรชั้นประถมและมัธยมศึกษา และให้บรรจุวิชา "ศาสนา" เป็นวิชาบังคับแทน ทั้งนี้เพื่อให้เด็กนักเรียนที่นับถือศาสนาใดก็ได้เรียนวิชาที่เป็นคำสอนในศาสนาของตน นับเป็นความใจกว้างอย่างหาประมาณมิได้ของกระทรวงศึกษาธิการของไทยในปัจจุบัน พระพุทธศาสนานั้นเป็นรากเหง้าของสังคมและวัฒนธรรมไทย เด็กไทยทุกคนที่เกิดมาบนผืนแผ่นดินไทยจะต้องรู้จักรากเหง้าของสังคมและวัฒนธรรมไทย เพื่อให้รู้สึกรักและหวงแหนผืนแผ่นดินอันเป็นบ้านเกิดเมืองนอนของตนเอง เด็กทุกคนจึงควรจะได้เรียนวิชา "พระพุทธศาสนา" ในมิติทางสังคมและวัฒนธรรมไทยในโรงเรียน เพื่อให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและวัฒนธรรมไทยร่วมกัน ความรู้สึกแปลกแยกจะได้หมดไป เมื่อกลับถึงบ้านโดยเฉพาะในวันเสาร์และอาทิตย์ เด็กก็สามารถจะเรียนรู้และปฏิบัติภารกิจทางศาสนาที่ตนเองนับถืออยู่ได้เต็มที่อยู่แล้ว ในแง่นี้วิชา "พระพุทธศาสนา" จึงเปรียบเหมือนกับ "เบ้าหลอม" (melting pot) ที่จะหลอมรวมเด็กไทยทุกคนให้เกิดความรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของสังคมและวัฒนธรรมไทยร่วมกัน มีความรักและหวงแหนแผ่นดินไทยร่วมกัน นโยบายของกระทรวงศึกษาธิการปัจจุบัน ที่ให้เด็กมุสลิมได้เรียนวิชา "ศาสนาอิสลาม" อันเป็นรากเหง้าของสังคมและวัฒนธรรมในคาบสมุทรอาระเบียหรือตะวันออกกลาง ตั้งแต่เด็กเล็กระดับประถมศึกษาไปจนถึงชั้นมัธยมศึกษานั้น ทำให้เด็กไทยมุสลิมสร้างจินตนาการ อันนำไปสู่ความรู้สึกรักและผูกพันดินแดนศาสดาของตนในตะวันออกกลาง ทำให้ความจงรักภักดีของเด็กไทยมุสลิมเคลื่อนย้ายจากประเทศไทยไปยังดินแดนตะวันออกกลาง หรือประเทศที่นับถือศาสนาอิสลามเป็นส่วนใหญ่ (เมื่อเกิดกรณีขัดแย้งไม่ว่าประเด็นใดระหว่างประเทศไทยกับประเทศในตะวันออกกลาง ความจงรักภักดีของมุสลิมไทยมักจะไปอยู่ข้างตะวันออกกลางมากกว่าประเทศไทยเสมอ) ? ถึงเวลาแล้วที่ชาวไทยซึ่ง 95% เป็นชาวพุทธ ควรเรียกร้องสิทธิให้ กระทรวงศึกษาและรัฐบาลกลับมาสอนวิชาพุทธศาสนาเป็นวิชาหลักหรือวิชาบังคับ ให้สอดคล้องกับที่ประเทศไทยมีประชากรชาวพุทธเป็นส่วนมากที่สุดในโลก แต่ลูกหลานกลับไม่ได้มีโอกาสเรียนรู้วิชาพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ ทั้งที่ควรที่จะได้มีโอกาสภาคภูมิใจในความเป็นพุทธและความเป็นเอกลักษณ์ของชาวไทย ซึ่งเกี่ยวเนื่องและเป็นผลพลอยได้จากพระพุทธศาสนาโดยตรง เช่น ที่ชาวต่างชาติรู้จักยกย่องเมืองไทยในนามของ Land of Smile, Land of Yellow Saffron ตลอดถึงความใจเย็นของคนไทย รวมไปถึงความดำรงชีวิตประจำวันอันเนื่องมาจากคำสอนในพุทธศาสนา เช่น คำว่า?ไม่เป็นไร? ?สติ? เช่น มีสติ หมดสติ ขาดสติ ที่เราพูดและอุทานกันอยู่ทุกวี่ทุกวัน เป็นต้น ถามว่าหากรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายแม่สูงสุดมีบัญญัติให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติจะดีกว่าไหม เพราะกฎหมายลูกที่จะออกตามมาไม่ว่าของศาสนาใดก็ตามก็ต้องไม่ให้สิทธิมากไปกว่าพุทธศาสนา และเป็นของขวัญให้ในหลวงของเราตลอดจนพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์ที่ผ่านมาที่ทรงเห็นว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยมาโดยตลอด อยากรู้อะไรดีๆมากขึ้นให้คลิกอ่านทุกหน้าที่ http://larndham.net/index.php?showtopic=24724&st=0 และช่วย vote ให้พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติได้ที่ http://www.matichon.co.th/poll/frm_oldviewpoll.php?id_poll=19032007140603 ขอขอบคุณที่ได้ช่วยจรรโลงพุทธศาสนาให้อยู่คู่ไทยอย่างที่บรรพบุรุษได้กระทำมาเพราะปัจจุบันปกครองโดยประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชเช่นในอดีตแล้ว รัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดจึงสำคัญมาก หากเราไม่ช่วยกัน เป็นไปได้ที่ในอนาคตพุทธศาสนาจะไม่เป็นศาสนาหลักที่มีคนนับถือกันมากเช่นปัจจุบัน หากสิ้นพุทธ ก็สิ้นไทยแน่นอน หากไม่มีเวลาอ่านทุกหน้า ให้อ่านหน้านี้ก่อนเลยแล้วคลิ กอ่าน link ที่มีระบุบนหน้านี้ http://larndham.net/index.php?showtopic=24724&st=130

By : วรากร ( 2008-03-30 13:44:10 )
 

จำนวนผู้เข้าชมเว็บทั้งหมด 230738 คน

ชมรมศิษย์เก่าสวนกุหลาบวิทยาลัย รุ่นที่ 96 100/397-398 หมู่บ้านมณียา ถ.รัตนาธิเบศธ์ ซ.ท่าอิฐ ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
ติดต่อท่านประธาน > kematat.p@hotmail.com ติดต่อเว็บมาสเตอร์ >webmaster.osk@gmail.com
Produced By Permpoon C. and Powered by: StartUp Design and Network Co.,Ltd.