คลิกเลือกไปหน้าแรก
ชาวสวน'92เข้าสูระบบ
คลิกดูกำหนดการได้ที่วันที่ในปฏิทิน
ธันวาคม - 2567
พฤ
อา
25
26
27
28
29
30
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
1
2
3
4
5
 

@คณะกรรมการชมรม
@ตัวแทน/ผู้ประสานงาน
@วิสัยทัศน์ ค่านิยม ยุทธศาสตร์
@ระเบียบการบริหารงาน
@ระเบียบว่าด้วยเงิน
@รักรุ่นจริงไม่ทิ้งกัน
@บัญชีสถานะการเงิน
@เพลงสวน

คลิกเพื่อเลือกชมและบันทึกข้อความ
คลิกเพื่อดูหรือ post ข่าว
 คลิกเพื่อดูหรือ post จดหมายเวียน
คลิกเพื่อดูหรือ post กำหนดการทำบุญบริจาคโลหิต
คลิกเพื่อดูหรือ post เข้าบอร์ดเพื่อนช่วยเพื่อน
คลิกเพื่อดูหรือ post รายละเอียดธุรกิจของเพื่อน
คลิกเพื่อดูหรือ post คลิปโดนๆของชาวสวน 96
คลิกเพื่อดูหรือ post ภาพกิจกรรมของชาวสวน 96
คลิกเพื่อฝากข่าวสารถึงท่านประธาน
คลิกเพื่อฝากข่าวสารถึง webmaster
คลิกเพื่อดูหรือ postข่าวสารทางวิชาการจากสวน 96
คลิกเพื่อดูหรือ postคำคม,ปรัชญาชีวิต
คลิกเพื่อดูหรือ postเรื่องซุบซิบนินทา
คลิกเพื่อดูหรือ postเรื่องของครอบครัวสวน  96
คลิกเพื่อดูหรือ postเรื่องสันทนาการ

  คลิกเพื่อลิ้งค์ไปสู่หน้าเวปสวนกุหลาบ
  คลิกเพื่อลิ้งค์ไปสู่หน้าเวป OSKNETWORK


หัวข้อ :ความรู้เกี่ยวกับการบริจาคโลหิต   [ No. 547 ]  
รายละเอียด :
น.อ. หญิง ภักตร์ฉวี บุณยะเวศ
ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับโลหิต
โลหิตเป็นอวัยวะชนิดหนึ่ง เป็นของเหลวสีแดงที่ไหลเวียนอยู่ภายในหลอดโลหิตทั่วร่างกาย โดยมีหัวใจทำหน้าที่สูบฉีดโลหิต อวัยวะสำคัญของร่างกายที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดโลหิต ได้แก่ ไขกระดูก เช่น กระดูกหน้าอก กระดูกแขน กระดูกซี่โครง กระดูกเชิงกราน กระดูกไขสันหลัง เป็นต้น ในร่างกายมนุษย์ (ผู้ใหญ่) จะมีโลหิตประมาณ 4,000 - 5,000 ซี.ซี. หรือ ปริมาณตามน้ำหนักของแต่ละคน คิดโดยประมาณคือ 80 ซี.ซี. ต่อน้ำหนัก 1 กิดลกรัม
เม็ดโลหิตที่สร้างจากไขกระดูก มี 3 ชนิด คือ
1. เม็ดโลหิตแดง
2. เม็ดโลหิตขาว
3. เกร็ดโลหิต
โลหิตแบ่งได้ 2 ส่วน คือ
1. ส่วนของเม็ดโลหิต
2. ส่วนพลาสม่า (Plasma)
1. ส่วนของเม็ดโลหิต มีประมาณ 45 เปอร์เซนต์ ของโลหิตทั้งหมด
เม็ดโลหิตแดง มีหน้าที่ในการลำเลียงอ๊อกซิเจนไปให้เซลส์อวัยวะต่าง ๆ ใช้สันดาบ อาหารเป็นพลังงาน อายุการทำงานของเม็ดโลหิตแดง ประมาณ 120 วัน
เม็ดโลหิตขาว มีหน้าที่ป้องกันและทำลายสิ่งแปลกปลอมที่เข้าสู่ร่างกาย
เกร็ดโลหิต มีหน้าที่ช่วยทำให้โลหิตแข็งตัว ตรงจุดที่มีการฉีดขาดของหลอดโลหิต
2. พลาสม่า (Plasma) เป็นส่วนของเหลวของโลหิตที่ทำให้เม็ดโลหิตลอยตัว มีลักษณะเป็นน้ำเหลืองมีอยู่ประมาณ 55 เปอร์เซนต์ ของโลหิตทั้งหมดในร่างกาย
หน้าที่ของพลาสม่า
- ควบคุมความดัน และปริมาตรของโลหิต
- ป้องกันเลือดออก
- เป็นภูมิคุ้มกันโรคติดต่อที่จะเข้าสู่ร่างกาย
ส่วนพลาสม่าประกอบด้วย
1. ส่วนน้ำ ประมาณ 92 เปอร์เซนต์
2. ส่วนโปรตีน มีประมาณ 8 เปอร์เซนต์ โปรตีนส่วนนี้จะมีความสำคัญคือ
2.1 แอลบูมิน มีหน้าที่รักษาความสมดุลของน้ำในหลอดเลือด และเนื้อเยื่อ
2.2 อินมูโนโกลบูลิน มีหน้าที่เป็นภูมิคุ้มกันโรคติดต่อต่าง ๆ ที่จะเข้าสู่ร่างกาย
ประเภทของโลหิต
โลหิตของมนุษย์สามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ดังนี้
1. หมู่โลหิตระบบ ABO
2. หมู่โลหิตระบบ Rh
1. หมู่โลหิตระบบ ABO
หมู่โลหิตเริ่มค้นพบใน คศ. 1900 โดย Karl Landsteiner พบหมู่โลหิต A, B, และ O ส่วนหมู่โลหิต AB พบโดย Von Decastello และ Sturli ในปี คศ. 1902
สถิติหมู่โลหิต ABO ของคนไทย มีดังนี้
หมู่โลหิต A 21.1 %
หมู่โลหิต B 34.0 %
หมู่โลหิต O 37.6 %
หมู่โลหิต AB 7.3 %
2. หมู่โลหิต ระบบ Rh
ปี คศ. 1939 Levine และ Stetson รายงานการค้นพบหมู่โลหิต ระบบ Rh ประกอบด้วยหมู่โลหิต 2 ชนิดคือ
2.1 หมู่โลหิต ระบบ Rh บวก พบในคนไทยประมาณ 99.7 %
2.2 หมู่โลหิต ระบบ Rh ลบ พบในคนไทยประมาณ 0.3 % หรือใน 100 คน จะพบเพียง 3 คนเท่านั้น
การถ่ายทอดหมู่โลหิต ระบบ ABO ของพ่อ - แม่ - ลูก ที่เป็นไปได้
หมู่โลหิตของพ่อ หมู่โลหิตของแม่ หมู่โลหิตของลูกที่อาจจะเป็นไปได้
O O O
O A O,A
0 B O,B
O AB A,B
A A A,O
A B O,A,B,AB
A AB A,B,AB
B B B,O
B AB A,B,AB
AB AB A,B,AB
การบริจาคโลหิต
- ปกติแล้วมนุษย์จะมีโลหิตอยู่ประมาณ 4,000 - 5,000 ซี.ซี. และการบริจาคโลหิตแต่ละครั้งจะบริจาคเพียง 300
- 400 ซี.ซี. หรือ ประมาณ 6 - 7 % ของโลหิตทั้งหมดในร่างกาย การบริจาคโลหิตเท่ากับการกระตุ้นให้ไขกระดูกสร้างเม็ดโลหิตใหม่ ๆ ออกมาชดเชยให้มีระดับเท่าเดิม ภายใน 7 - 14 วัน
- การบริจาคสามารถบริจาคโลหิตได้ทุก ๆ 3 เดือน ไม่ควรบริจาคก่อนครบกำหนด จะทำให้ร่างกายขาดเหล็ก อาจทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง
คุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิต
- บริจาคได้ทั้งชาย และหญิง ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง
- อายุ 17 - 60 ปี
- น้ำหนัก 45 กิโลหรัม ขึ้นไป
- ฮีโมโกลบิน หญิงสูงกว่า 80% ชายกว่า 90% ของคนปกติ
- ความดันโลหิต ซีสโตริกไม่ต่ำกว่า 100 มม.ปรอท
- ไม่มีประวัติเป็นผู้เสพยาเสพติด (ชนิดฉีด)
- ต้องไม่เป็นโรคเอดส์, โรคไวรัสตับอักเสบ บี และซี
- ไม่เป็นบุคคลที่มีพฤติกรรมเสี่ยงต่อโรคเอดส์
- ไม่มีประวัติเป็นมาเลเรียภายใน 3 ปี
- มีสุขภาพสมบูรณ์ ไม่เป็นโรคหัวใจ โรคปอด โรคไต และโรคติดต่ออื่น ๆ
ข้อควรปฏิบัติ ก่อนบริจาคโลหิต
- ควรนอนหลับพักผ่อนอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 6 ชั่วโมง
- ไม่ควรอยู่ระหว่างรับประทานยา ประเภทปฏิชีวนะ และฉีดยา
- สตรีต้องไม่อยู่ในระหว่างมีรอบเดือน
- ควรรับประทานอาหารมาให้เรียบร้อย ก่อนมาบริจาคโลหิต แต่อาหารนั้นไม่ควรมีไขมันมาก
ขั้นตอนการบริจาคโลหิต
ขั้นตอนที่ 1 สำหรับผู้บริจาคโลหิตครั้งแรก เขียนใบสมัครบริจาคโลหิต
กรอกข้อความ ตามแบบใบสมัครให้ชัดเจน เช่น ชื่อ - นามสกุล, วัน เดือน ปี เกิด สถานที่ทำงาน, สถานศึกษา, ที่อยู่ที่บ้าน เป็นต้น
กรอกข้อความตามแบบสอบ-ถาม ลงในใบสมัครตามความเป็นจริง
ลงนามผู้บริจาคโลหิต
สำหรับผู้บริจาคเดิม ให้ยื่นบัตรประจำตัวผู้บริจาคโลหิตกับเจ้าหน้าที่ได้ทันที
ขั้นตอนที่ 2 ตรวจสอบความเข็มข้นของโลหิต
ขั้นตอนที่ 3 ตรวจร่างกายโดยแพทย์ และให้ความเห็นว่ามีสุขภาพแข็งแรง พร้อมบริจาคโลหิต
ขั้นตอนที่ 4 บริจาคโลหิต โดยพยาบาลทำหน้าที่เจาะเก็บโลหิต ซึ่งเป็นผู้มีความชำนาญ การเจาะโลหิตจะฉีดยาชาบริเวณผิวหนังที่เจาะโลหิตก่อนทำการเจาะเก็บโลหิต และอุปกรณ์ในการเจาะเก็บโลหิตเป็นของใหม่ผ่านการฆ่าเชื้อแล้ว และจะใช้เพียงครั้งเดียว แล้วทิ้งไม่นำมาใช้อีก
ขั้นตอนที่ 5 พร้อมบริจาคโลหิต จะมีการกินอาหารว่างพร้อมเครื่องดื่ม และทำแผลบริเวณเจาะโลหิต
ข้อความปฏิบัติหลังการรับบริจาคโลหิต
ควรนอนพักบนเตียงสักครู ห้ามลุกจากเตียงทันทีเพราะอาจทำให้เวียนศีรษะเป็นลมได้
ควรรับประทานอาหารว่าง และเครื่องดื่มที่จัดเตรียมไว้
รับบริการทำแผลบริเวณเจาะเก็บโลหิต
หากมีอาการวิงเวียศีรษะ หรือรู้สึกจะเป็นลม ให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ทันที หรือนอนลง เพื่อป้องกันการล้มศีรษะฟาดพื้น
บัตรประจำตัวผู้บริจาคโลหิต
ผู้บริจาคโลหิตจะได้รับบัตรประจำตัวผู้บริจาคโลหิต ซึ่งภายในบัตรจะระบุรายละเอียด ดังนี้
ชื่อ-นามสกุล พร้อมด้วยที่อยู่ของผู้บริจาคโลหิต
เลขประจำตัวผู้บริจาคโลหิต
หมู่โลหิต ระบบ เอบีโอ (ABO) และระบบ อาร์เอช (Rh)
วัน เดือน ปี และจำนวนครั้งการบริจาคโลหิต
บัตรประจำตัวสีเหลือง คือบัตรประจำตัวผู้บริจาคโลหิต หมู่ A
บัตรประจำตัวสีชมพู คือบัตรประจำตัวผู้บริจาคโลหิต หมู่ B
บัตรประจำตัวสีฟ้า คือบัตรประจำตัวผู้บริจาคโลหิต หมู่ O
บัตรประจำตัวสีขาว คือบัตรประจำตัวผู้บริจาคโลหิต หมู่ AB
ผลที่ได้รับจากการบริจาคโลหิต
ความภาคภูมิใจที่ได้เสียสละโลหิตในร่างกาย เพื่อเป็นสาธารณะประโยชน์ต่อผู้อื่น
รับทราบหมู่โลหิตของตนเอง
ได้รับการตรวจสุขภาพ ทุก 3 เดือน (กรณีมาบริจาคโลหิต)
ได้รับการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ไวรัสตับอักเสบ ซี เชื้อไวรัสเอดส์ และเชื้อซิฟิลิส (กามโรค)
การตรวจคุณภาพโลหิต
โลหิตที่ได้รับจากการบริจาคโลหิต ก่อนนำไปให้กับผู้ป่วยเพื่อการรักษาทุกหน่วยต้องผ่านการตรวจจากห้องปฏิบัติการตามลำดับขั้นตอน เพื่อผู้ป่วยจะได้รับโลหิตที่ปลอดภัยตามมาตรฐาน การตรวจโลหิตทางห้องปฏิบัติการจะกระทำการตรวจดังนี้ คือ
1. ตรวจหาหมู่โลหิต ระบบ เอบีโอ และระบบ อาร์เอช
2. ตรวจหาเชื้อไวรัสเอดส์ (Anti HIV และ HIV Ag)
3. ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี (Abs Ag)
4. ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ ซี (Anti Hbc)
5. ซิฟิลิส (VDRL)
6. ทดสอบความเข้ากันได้ของโลหิตครบทุกขั้นตอนตามมาตรฐาน
การบริจาคโลหิตนับว่าเป็นกุศลอันสูงสุดเพราะเป็นการให้ส่วนหนึ่งของชีวิตไปช่วยต่อชีวิตให้ผู้อื่น ผู้ให้ย่อมเกิดความปิติ บังเกิดความสุขใจจากผลบุญของการให้ ขณะนี้โลหิตที่ได้รับการบริจาคยังขาดแคลนไม่เพียงพอ ท่านผู้บริจาคโลหิตจึงนับว่าเป็นส่วนสำคัญในการบริจาคโลหิต เพื่อสำรองไว้ใช้กับเพื่อนมนุษย์ผู้เจ็บป่วย ท่านที่สนใจติดต่อขอรับบริจาคโลหิตได้ที่ กองบริการโลหิต รพ. ภูมิพลอดุลยเดช พอ. บนอ. สาขาบริการโลหิตของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย โทร. 531-1970-99 ต่อ 27651 ในวันเวลาราชการ
"บริจาคโลหิต ช่วยชีวิตเพื่อนมนุษย์"

By : อุ้ม   ( IP : 58.8.115.xxx ) (Read 853 | Answer 1 2007-05-13 20:26:51 )
 

ความคิดเห็นที่1  

ดีมากครับ เป็นความรู้พื้นฐานที่คนเราทุกคนควรทราบไว้

By : สุเทพ นันทไชย ห้อง 5/8 ( 2008-03-30 13:44:10 )
 

จำนวนผู้เข้าชมเว็บทั้งหมด 230570 คน

ชมรมศิษย์เก่าสวนกุหลาบวิทยาลัย รุ่นที่ 96 100/397-398 หมู่บ้านมณียา ถ.รัตนาธิเบศธ์ ซ.ท่าอิฐ ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
ติดต่อท่านประธาน > kematat.p@hotmail.com ติดต่อเว็บมาสเตอร์ >webmaster.osk@gmail.com
Produced By Permpoon C. and Powered by: StartUp Design and Network Co.,Ltd.