คลิกเลือกไปหน้าแรก
ชาวสวน'92เข้าสูระบบ
คลิกดูกำหนดการได้ที่วันที่ในปฏิทิน
เมษายน - 2568
พฤ
อา
31
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
 

@คณะกรรมการชมรม
@ตัวแทน/ผู้ประสานงาน
@วิสัยทัศน์ ค่านิยม ยุทธศาสตร์
@ระเบียบการบริหารงาน
@ระเบียบว่าด้วยเงิน
@รักรุ่นจริงไม่ทิ้งกัน
@บัญชีสถานะการเงิน
@เพลงสวน

คลิกเพื่อเลือกชมและบันทึกข้อความ
คลิกเพื่อดูหรือ post ข่าว
 คลิกเพื่อดูหรือ post จดหมายเวียน
คลิกเพื่อดูหรือ post กำหนดการทำบุญบริจาคโลหิต
คลิกเพื่อดูหรือ post เข้าบอร์ดเพื่อนช่วยเพื่อน
คลิกเพื่อดูหรือ post รายละเอียดธุรกิจของเพื่อน
คลิกเพื่อดูหรือ post คลิปโดนๆของชาวสวน 96
คลิกเพื่อดูหรือ post ภาพกิจกรรมของชาวสวน 96
คลิกเพื่อฝากข่าวสารถึงท่านประธาน
คลิกเพื่อฝากข่าวสารถึง webmaster
คลิกเพื่อดูหรือ postข่าวสารทางวิชาการจากสวน 96
คลิกเพื่อดูหรือ postคำคม,ปรัชญาชีวิต
คลิกเพื่อดูหรือ postเรื่องซุบซิบนินทา
คลิกเพื่อดูหรือ postเรื่องของครอบครัวสวน  96
คลิกเพื่อดูหรือ postเรื่องสันทนาการ

  คลิกเพื่อลิ้งค์ไปสู่หน้าเวปสวนกุหลาบ
  คลิกเพื่อลิ้งค์ไปสู่หน้าเวป OSKNETWORK


หัวข้อ :"คุยกันฉันท์ธรรม ๑,๒ และ ๓"หลวงพ่อประสิทธิ์ ถาวโร วัดถ้ำยายปริก เกาะสีชัง ชลบุรี   [ No. 652 ]  
รายละเอียด :
?เทวดา?

ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เคยอยากรู้เรื่องของภพภูมิต่างๆที่พิเศษออกไปจากภูมิของมนุษย์เรา ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้ว ในห้วงกาลเวลาอันนานช้าแห่งสังสารวัฏฏ์ เราทุกคนก็น่าจะเคยผ่านการดำรงสภาวะในภพภูมิต่างๆใน ๓ โลกธาตุมาแล้วทั้งนั้น (แต่จะมีสักกี่คนที่จำได้) ซึ่งเรื่องความอยากรู้อยากเห็นนี่มันหักห้ามกันยากจริงๆ

โดยปกติแล้ว หลวงพ่อประสิทธิ์ ท่านเป็นพระที่แทบจะไม่เคยพูดถึงเรื่องของภพภูมิอื่นๆเลย เพราะท่านจะเน้นกล่าวถึงแต่ในเรื่องปัจจุบันแห่งกายและจิตที่ต้องมีสติและสมาธิแนบแน่น และมีมรรคมีองค์ ๘ เป็นหลักยึดอันมั่นคงแห่งการปฏิบัติของทุกคนในวัด อย่างไรก็ดี เมื่อมีผู้ถามเรื่องภพภูมิต่างๆ ท่านก็จะพูดบ้างเท่าที่จำเป็น ไม่ใช่ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ไม่ได้พูดมากเสียจนเข้าข่ายอวดอุตริฯเพื่อให้คนฮือฮานับถือ เพราะท่านจะพูดเท่าที่จำเป็นและเห็นว่าเกี่ยวข้องทางใดทางหนึ่งกับผู้ถามเท่านั้น เช่น เมื่อผมถามท่านว่า ?หลวงพ่อครับ เทวดาในวัด (ถ้ำยายปริก) นี้มีบ้างหรือไม่ครับ? ท่านก็ตอบสั้นๆว่า ?มี?

จนผมต้องถามต่อว่า ?มีมากแค่ไหนครับ? ท่านก็ตอบเร็วพลางกวาดมือของท่านชี้ไปที่ต้นไม้หลายต้นในวัดว่า ?เห็นต้นไม้เหล่านี้ไหม ต้นหนึ่งเทวดาเขาก็อยู่กันเป็นหมื่นเป็นแสนองค์ พวกนี้เขาเป็นรุกขเทวดา เขาก็อยู่ของเขาตามอัตภาพ?

แล้วผมก็นึกถึงได้ว่า มีบางครั้งในช่วงกลางดึกที่ผมเข้าไปนั่งภาวนาใน ?ถ้ำยายปริก? ที่อยู่บนเขาใจกลางวัด แล้วหูก็แว่วได้ยินเสียงคนพึมพำหรือไม่ก็เสียงคล้ายพิณปี่พาทย์บรรเลงก็มี เมื่อผมลองเล่าถวายหลวงพ่อ ท่านก็พูดสั้นๆประกอบว่า ?มีเทพฯในถ้ำอยู่เหมือนกัน นั่นก็อยู่กันทั้งเมือง ถ้ำนั้นน่ะเป็นสถานที่มงคล หลวงพ่อเองก็เห็นธรรมะในถ้ำนั่นแหละ?

หรืออีกกรณีหนึ่ง ผมเคยถามท่านว่า ?ผมเห็นครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่นท่านกล่าวว่า มีเทพฯไปพบไปกราบท่านเป็นประจำ แล้วที่นี่มีบ้างหรือเปล่าครับ มีเทพฯมาหาหลวงพ่อบ้างหรือเปล่า?

ท่านตอบแค่ว่า ?เขาก็มากัน โดยเฉพาะเทพฯชั้นจาตุมา (ท่านพูดสั้นๆหมายถึง เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา) ยกโขยงมาเฝ้าวัดกันตอนกลางคืน พอตอนตี ๔ ก็กลับกันหมด? ท่านพูดเท่านี้จริงๆครับ (และเพราะเหตุนี้กระมัง ที่วัดถ้ำยายปริกผมจึงไม่เคยเห็นต้องล็อกกุญแจไม่ว่าที่ใด แม้แต่ประตูวัดก็ไม่มี มีแต่ซุ้มประตูเปิดโล่งตลอดเวลา และชาวบ้านก็อยู่รายล้อมวัดเยอะ มีพวกที่กินเหล้าเมายาติดยาก็มี แต่ของในวัดก็ไม่หาย และส่วนใหญ่ในอดีต หลวงพ่อมักจะมีเทศนาบนยอดเขาในตอนกลางคืน ทุกคนในวัดก็ไปรวมตัวกันหมด ไม่มีใครดูแลบริเวณซุ้มประตูซึ่งติดกับอาคารที่เก็บของกินของใช้และเงินบริจาค แต่ก็ไม่เคยมีกรณีของหายใดๆ)

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่หลวงพ่อกล่าวขึ้นระหว่างเทศนาธรรมแก่พระและชีว่า ?ระวังกันให้ดีเถอะ พวกพระพวกชีที่กินข้าวเขาแล้วไม่ปฏิบัติ วันๆเอาแต่นอน ตายไปก็ไปเกิดเป็นวัวเป็นควาย ให้เขาใช้งาน ถ้าผิดศีลผิดวินัยด้วยก็ไปลงนรกอเวจีให้เขาต้มซะให้สุก ถ้าเป็นพระแต่จิตใจมักมีอคติลำเอียงเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและลาภสักการะอย่างน้อยๆก็ต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน จำไว้นะว่า ถ้าโลภะ ก็ไปเกิดเป็นเปรต ถ้าโทสะ ก็ไปเป็นสัตว์นรก ถ้าโมหะ ก็ไปเป็นสัตว์เดรัจฉาน นี่ล่ะ เขาวางหลักไว้ให้แล้ว มันเป็นไปตามเหตุปัจจัยของมัน อย่างอดีตเจ้าอาวาสวัดที่ฉันเคยไปพักอาศัยด้วย และหาเหตุกลั่นแกล้งฉัน แกตายไปก็มาเกิดเป็นหมาอยู่ในวัดนี้แหละ เดินตามฉันต๊อกๆใช้กรรม ยังดีที่พอก่อนแกตายจากหมาแล้วยังระลึกถึงผ้าเหลือง เลยมาเกิดเป็นเทวดาอยู่บนต้นไม้หน้าวัด เออ ก็ยังดี?

นอกจากนั้นแล้ว ผมแทบจะไม่เคยได้ยินเรื่องเหล่านี้อีกเลยจากปากของหลวงพ่อ ถ้าถามท่านอีก ท่านจะบอกว่า ?เอ็งจะรู้ไปทำไม๊มากมาย เทวดาเขาก็ยังมี ?ความรู้สึก? เหมือนเรานั่นแหละ แล้วเขาก็ต้องมาเกิดอีก จะให้ดีแค่ไหนก็ต้องมาเกิดอีก แล้วจะมีดีอะไร เว้นไว้พวกเดียวคือ พวกที่อยู่ในพรหมโลกสุทธาวาส (พระพรหมอนาคามี) พวกนั้นไม่ต้องมาเกิดในเมืองมนุษย์อีก นอกนั้นว่ากันโดยธรรมแล้ว ภพภูมิใดก็เหมือนกันหมดเป็นสภาวะเดียว คือ สัตว์โลกที่ยังมีความรู้สึกคิดนึกปรุงแต่งอยู่ ไม่เห็นมีดีวิเศษอะไร สิ่งที่เราทำได้และควรทำเกี่ยวกับพวกเขาก็คือ หมั่นเจริญเมตตาภาวนากรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เขาไปไม่เลือกหน้า เราเองก็ได้เองด้วย ส่วนเขาจะรับได้รับไม่ได้ก็เรื่องของเขา สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมนะพงศ์เอ๊ย?

ท่านเสริมท้ายว่า ?ฉะนั้นเราอย่าไปสนใจเลย ไม่ต้องไปตามรับรองหรือปฏิเสธมัน เรื่องภพภูมิเหล่านี้มันเป็นไปเองตามสภาวะของธรรมชาติเขาจัดสรร ให้มองข้ามไปเลย มุ่งหน้าอย่างเดียวว่า เราจะทำลายความรู้สึกให้หมดสิ้นซะในชาตินี้ จะได้ไม่ต้องมาเวียนเกิดเวียนตายอย่างนี้อีก เอาให้มันแน่วแน่ไปเลย เชื่อแน่ว่ามันไม่พ้นความเพียรของเราไปได้หรอก?

ครั้งหนึ่ง ผมเห็นหลวงพ่อขึ้นไปนอนเงียบๆองค์เดียวบนยอดเขาตอนกลางคืน โดยปกติแล้ว บนยอดเขาของวัดฯ บนเกาะสีชังในตอนกลางคืนนั้น มักจะมีลมเย็นสบายพัดอ่อนๆ บรรยากาศจะเงียบสงบและโปร่งสบายอย่างยิ่ง ผมเห็นท่านนอนด้วยทีท่าสงบและผ่อนคลายบนเปลพับได้ ผมคลานเข้าไปใกล้ พอกราบท่านเสร็จ ท่านก็ชี้มือออกไปที่ท้องทะเลด้านหน้าวัดที่มีแสงไฟจากลำเรือและบ้านผู้คน แล้วท่านก็รำพึงว่า ?พงศ์เอ๊ย เอ็งเห็นไหม สัตว์โลกต่างๆนี้ก็ดิ้นรนกันไป เกิดมาก็หาอยู่หากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ได้ทรัพย์มาก็เพื่อกิน จะรวยแค่ไหนก็แค่เพื่อกินให้อิ่มไปมื้อหนึ่งๆเท่านั้นแหละ แต่แล้ว เรื่องกินยังไม่พอ คนเรามันยังมีความรู้สึกอยู่ ก็ต้องหาอะไรมาบำรุงบำเรอตนให้จิตใจมันเพลิดเพลิน จะมีสักกี่คนที่จะระลึกรู้ว่าสิ่งเหล่านี้มันเป็นของปลอมที่เกิดๆดับๆอยู่ร่ำไป มิใช่สาระแก่นสาร จะมีสักกี่คน ที่จะยินดีออกจากสิ่งเหล่านี้เพื่อไปหาความสงบอย่างแท้จริง เอ็งเห็นไหม มีวัดไหนเขามีอะไรให้เปรียบเทียบอย่างที่นี่บ้าง ดูด้านนี้มีแสงไฟระยิบระยับ แต่อีกด้านหนึ่งกลับมืดและเงียบสงบ (ท่านกล่าวพลางชี้มือไปที่ท้องทะเลหลังวัด ที่แลดูเงียบสงบ มีแต่เสียงคลื่นซัดสาดเบาๆและมีแสงไฟจากลำเรืออยู่ไกลๆ)

นี้แหละธรรมะเขาต้องมีตัวเปรียบเทียบ เขาเรียกว่า เป็นคู่ปรับกัน เช่น จะเอาชนะความรู้สึกคิดนึกปรุงแต่งได้ก็ต้องมีสติสัมปชัญญะที่หนักแน่นมั่นคงและเอาจริงเอาจัง หลวงพ่อเองเห็นใจนะ เห็นใจคนที่เขาปฏิบัติกันแต่ก็ลูบๆคลำๆกันไป จะหาของจริงทุกวันนี้ก็ยาก พระทุกวันนี้ก็หลอกเขาเยอะ จะมีที่ถึงจริงๆสักกี่องค์? กระพือโหมโฆษณากันไป พระแท้ๆเขาเก็บตัวกันหมด ที่สั่งสอนธรรมเขาไปทั่วแต่ตัวเองยังติดสมมุติอยู่ก็มี ก็ช่างเขา ใครตาดีก็เห็น ที่เหลือก็งมกันต่อไป ที่หลวงพ่ออยู่ทุกวันนี้ ก็ไม่ใช่ว่าเราดีกว่าเขา หลวงพ่ออยู่เหมือนนกน้อยทำรังแต่พอตัว ดูแลพระชีและผู้ปฏิบัติธรรมในเขตในอาวาสให้ได้มีอยู่มีกินอย่างพอเพียง ได้ปฏิบัติธรรมบำเพ็ญเพียรให้พ้นจากกองทุกข์ แค่นี้ก็พอแล้ว หลวงพ่อก็ไม่ได้ว่าหลวงพ่อเก่งกว่าใครๆ มีนะ บางทีมีคนมาพูดว่าหลวงพ่อเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ เออ เราตอบไปว่า เราไม่เก่ง ถ้าเก่งก็คงไม่ต้องอาศัยข้าวปลาอาหารของญาติโยมหรอก คงจะเสกข้าวกินเองแล้ว ไม่ต้องง้อใครหรอก และคงจะไม่ต้องแก่ ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องตาย อยู่ให้มันยืนยงไปเลย แต่นี่ไม่ใช่ เดี๋ยวอีกหน่อยก็จะไปแล้ว เข้าโลงแล้ว จะมาเก่งอะไร อย่างอาหารการกินก็เหมือนกัน ที่หลวงพ่อมีกินอยู่ทุกวันนี้ก็ล้วนแล้วแต่เกิดแต่อานุภาพของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ผู้ที่ท่านหลุดพ้นแล้วทั้งนั้น ไม่ใช่เพราะเราเลย ใครจะมาบอกว่าเราเก่งเราแน่อย่างนั้นไม่ได้ เขาพูดผิดทั้งนั้น? (ทุกเช้าหลังสวดให้พรเป็นภาษาบาลีและก่อนลงมือฉัน หลวงพ่อจะให้สวดพร้อมกันทุกคนว่า "อาหารบิณฑบาตร ที่ได้มาในวันนี้ ได้มาด้วยอานุภาพ คุณแห่งพระพุทธเจ้า ได้มาด้วยอานุภาพ คุณแห่งพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ได้มาด้วยอานุภาพ คุณแห่งพระอริยสงฆเจ้า ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบมาก่อน ชีวิตนี้ อยู่ได้เพราะอาหาร เราฉันเพื่อดับความหิว ล้วนแล้วแต่อนิจจัง")

จากข้อความข้างบน ในเรื่องที่หลวงพ่อพูดว่า มีคนมาชมว่าเก่งนี้ เกิดหลังจากที่มีซินแสคนหนึ่ง มาไหว้ศาลเจ้าพ่อเขาใหญ่ ที่เป็นศาลเจ้าจีนขนาดใหญ่บนภูเขาใกล้วัด (มีชื่อเสียงโด่งดังไปถึงต่างประเทศ มีทัวร์พาคนจีน ฮ่องกง ไต้หวันมาไหว้เป็นประจำ ซินแสมาที่วัดด้วยเพราะคงมองเห็นวัดซึ่งอยู่มุมหนึ่งที่มองเห็นได้ชัดจากเรือที่เข้าเทียบท่าบนเกาะ) ซินแสแวะเข้ามากราบหลวงพ่อแล้วประนมมือพูดว่า ?ผมเกิดมาไม่เคยเห็นวัดไหนหรือสถานที่ใดจะมีฮวงจุ้ยที่ดีถึงขนาดนี้มาก่อนเลย ภายในวัดนี้ผมเห็นราศีของพญามังกรครบทั้งตัว มีหมดทั้งหัว ลำตัว และหาง นอนพาดแนวยาวตลอดทั้งวัด ผมดูลักษณะการวางผังวัด ทั้งกุฎิ วิหาร โบสถ์ ศาลา อะไรต่างๆ มันลงตัวไปหมด น่าอัศจรรย์ๆ หลวงพ่อต้องเป็นคนที่ตาถึงและเก่งจริงๆและมีบุญบารมีจริงๆจึงเลือกและได้เป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้?

แต่หลวงพ่อตอบกลับทันใดว่า ?โยม ที่ดินนี้น่ะ โยมอื่นเขาบริจาคให้ อาตมาต้องพึ่งเขาทั้งนั้น อาตมาไม่ใช่เจ้าของอะไรหรอก วัดนี้ก็เป็นของพระศาสนา ไม่ใช่ของอาตมา ประเดี๋ยวอาตมาก็ตายแล้ว จะมาบุญบารมีอะไรกัน แล้วสิ่งที่โยมกล่าวมาทั้งหมดนั่นน่ะ มันเป็นของสมมุติทั้งนั้น เรื่องฮวงจุ้ยโชคลางอะไรต่างๆ ถึงมันจะจริง มันก็จริงโดยสมมุติ และโลกเรานี้มันวุ่นวายก็เพราะเรื่องสมมุตินี้แหละเป็นเหตุ ปล่อยทิ้งไปเลยดีกว่าโยม มองข้ามไปเลย สำหรับอาตมาแล้ว ไม่เห็นอะไรดีไปกว่าการเดินตาม ?มรรคมีองค์ ๘? นั้นแหละของจริงล่ะ เป็นทางเดินโลกุตตระที่พระพุทธเจ้าวางไว้ให้ เรื่องอื่นนอกจากนี้แล้วอย่าไปสนใจเลย?

ว่าแล้วซินแสก็ได้ฟังธรรมะเรื่องมรรคมีองค์ ๘ จากหลวงพ่อจนซาบซึ้ง เป็นการอบรมเปลี่ยนความเห็นให้เข้าใจหลักของพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงนั่นเอง
"จาคะ"

ในเรื่องเกี่ยวกับ ?สมมุติ?ที่หลวงพ่อกล่าวถึงอยู่บ่อยๆนั้น สิ่งหนึ่งที่ท่านให้พิจารณาอยู่เสมอคือ ?คำพูด? ทั้งนี้ เพราะท่านบอกว่า ?ก็ขนาดวัตถุภายนอกรวมถึงร่างกายของเราก็ล้วนเป็นสิ่งสมมุติ เพราะเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้ยั่งยืน มีแต่เกิดขึ้นมาแล้วก็ดับไปตามกาลเวลาของมัน นับประสาอะไรกับคำพูดของคนเรา ที่มันไม่มีตัวมีตนอะไร เป็นแต่เพียงลมออกจากปากมาเป็นสุ้มเสียงภาษา ประโยชน์ของมันก็มีตั้งแต่ทำให้เข้าใจกัน ไปจนถึงฟังแล้วบรรลุธรรม แต่โทษของมันก็เห็นๆกันอยู่ อย่างคนเคยรักกันชอบพอกันก็เพราะคำพูดหวานๆเริ่มต้นนั้นแล ต่อมาพอพูดไม่ดีใส่กันก็หมางเมิน แล้วพอด่าพ่อล่อแม่กันก็โกรธกันจนลมออกหู หรือพอพูดอะไรขัดใจเขาก็ขึ้นโรงขึ้นศาลกันไป มันก็เป็นอย่างนี้ แท้จริงแล้วถ้าเรามาพิจารณาให้ดี มันก็แค่ของสมมุติให้เราไว้ใช้งาน ไม่น่าจะเอามาเป็นอารมณ์ให้เกิดความวุ่นวายเลย น่าจะพิจารณาสักหน่อย ว่าเขาพูดดีหรือไม่ดีก็ตาม เขาก็พูดไปตามความรู้สึกของเขา ก็คนเขายังมีความรู้สึกอยู่ มันก็ต้องปรุงแต่งไปตามอำนาจความรู้สึกของเขานั่นเอง เราไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจหรือลุ่มหลงไปกับคำพูดของเขา แต่ถ้าเขาพูดเป็นอรรถเป็นธรรม ก็ให้ฟังด้วยสติ อย่าฟังด้วยความรู้สึก ฟังแล้วก็เอามาพินิจพิจารณา โอปนยิโก น้อมเข้ามาใส่ตัว ก็ได้ประโยชน์ อย่างนี้จึงเรียกว่าผู้มีสติ?

ครั้งหนึ่ง เพื่อนของผมที่ทำงานอยู่บริษัททีพีไอระยอง ได้รบเร้าให้ผมพาเขาและคุณพ่อของเขาไปกราบหลวงพ่อฯที่วัด ผมทราบมาว่า คุณพ่อของเพื่อนผมคนนี้ทำธุรกิจบ้านจัดสรร มีเงินทุนหมุนเวียนหลายร้อยล้านบาท แต่เนื่องจากเกิดวิกฤตเศรษฐกิจ ธุรกิจจึงย่ำแย่และใกล้ล้มละลาย ซึ่งเพื่อนผมเกิดความเชื่อที่ว่า หลวงพ่ออาจจะช่วยได้ เพราะเห็นจากตอนที่ท่านไปฉันเพลที่บริษัททีพีไอระยองมา ๒ ครั้ง(ในขณะนั้น) แล้วกิจการของบริษัทฯที่จะทำท่าจะพังพาบอยู่รอมร่อ ก็หันกลับมาดีขึ้น (ช่วงสองสามปีมานี้ บริษัทฯมีโบนัสให้พนักงานจำนวนหลายเท่าของเงินเดือนมาทุกปี รวมถึงในระยะเวลาอันใกล้นี้ ก็กำลังจะออกจากแผนฟื้นฟูกิจการได้อย่างสมบูรณ์ หลังจากหลวงพ่อไปทีพีไอมาครั้งที่สาม ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ซึ่งก็เป็นไปตามคำพูดสั้นๆของหลวงพ่อที่ว่า หากท่านได้ไปทีพีไอครบ ๓ ครั้ง วิกฤตต่างๆจะจางคลายหายไปและกิจการก็จะเจริญก้าวหน้าไปตามลำดับ)

เมื่อผมพาเพื่อนและคุณพ่อของเขาไปวัด ก็ได้เห็นหลวงพ่อนั่งบนม้านั่งเปลพับได้ใต้ต้นไม้ร่มรื่น หลังจากกราบเรียนเรื่องราวให้ท่านทราบแล้ว หลวงพ่อก็บอกเพียงแต่ว่า ไม่ต้องนิมนต์ให้ท่านไปฉันภัตตาหารหรอก ท่านขอเพียงแต่ว่า หากรอดพ้นจากวิกฤตนี้แล้ว ก็ขอให้คุณพ่อของเพื่อนผมนั้น บวชเป็นพระ ?เพื่อบูชาคุณให้พระศาสนา? โดยที่จะบวชสั้นหรือยาวหรือตลอดไป ก็ให้เป็นไปตามความพอใจของผู้บวชเอง รวมถึงจะบวชที่ไหนก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นที่ถ้ำยายปริก ซึ่งคุณพ่อของเพื่อนผมก็รับปากกับหลวงพ่อ (และถัดจากนั้นมา กิจการของคุณพ่อของเพื่อนผมก็ดีขึ้นจนกระทั่งราบรื่นมาจนถึงทุกวันนี้)

ครั้นคุณพ่อของเพื่อนผมกลับออกจากวัดไปแล้ว แม่ชีท่านหนึ่งที่มักเป็นคนพูดอะไรตรงๆและโผงผาง (ภาษาทางโลกก็อาจกล่าวได้ว่า ?ปากกับใจตรงกัน?) ได้กล่าวขึ้นกะหลวงพ่อว่า ?หลวงตาคะ โยมเขาเห็นว่าหลวงตาเป็นตัวเงินตัวทองหรือคะ จึงขอพรจากหลวงตาให้ช่วยอย่างนั้นอย่างนี้ ให้ร่ำให้รวย ให้พ้นจากปัญหาทางการเงินอะไรต่างๆ? ซึ่งคำพูดของแม่ชีเพียงเท่านี้ ก็ทำให้ผมสะอึก เพราะผม(ผมแน่ใจว่ารวมถึงท่านผู้อ่านด้วย)ยังถือมั่นว่า คำพูดว่า ?ตัวเงินตัวทอง?นั้น หมายถึงอะไร...ที่ทุกคนก็ทราบกันดี แต่เมื่อมองไปที่ใบหน้าของหลวงพ่อ กลับได้เห็นรอยยิ้มและตามด้วยเสียงหัวเราะของท่านอย่างสบายใจเท่านั้น พลางท่านก็เอนกายลงนอนสีหไสยาสตร์เพื่อพักผ่อน

นึกถึงเรื่อง ?ตัวเงินตัวทอง?นี้ ความหมายที่แท้จริงของมันน่าจะหมายถึงอะไรก็ตามที่นำมาซึ่งเงินทองและโชคลาภ ซึ่งผมก็นึกขึ้นได้ถึงตอนที่ผมพาหลวงพ่อไปทำธุระในกรุงเทพฯ เมื่อเสร็จธุระแล้ว ระหว่างทางกลับเกาะสีชัง ผมได้พาหลวงพ่อ และแม่ชี ๓ รูปแวะพักฉันอาหารเพลที่ร้านก๋วยเตี๋ยวแห่งหนึ่งในซอยตรงข้ามกับห้าง "เซ็นทรัลบางนา" คือแม่ชีได้กระซิบบอกผมก่อนเสร็จธุระว่า ให้จอดรถแถวไหนก็ได้ที่มีร้านขายอาหาร เอาง่ายๆก็พอ เพราะหลวงพ่อและแม่ชีไม่ได้ฉันอะไรมากมาย คือถึงแม้ท่านจะฉันเพล ก็ฉันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ผมเลยจอดรถที่บริเวณดังกล่าว

เมื่อหลวงพ่อลงจากรถ ผมก็ยังลังเลว่า จะนิมนต์หลวงพ่อเข้าร้านอาหารไหนดี อยากให้หลวงพ่อได้ฉันอาหารดีๆ และที่สำคัญควรเป็นมังสวิรัติก็จะดีที่สุด เพราะปกติหลวงพ่อมีปกติไม่ฉันเนื้อสัตว์ แต่ก็มองไม่เห็นร้านไหนเลยที่จะเป็นมังสวิรัติ เห็นแต่ร้านข้าวแกงธรรมดาๆและร้านก๋วยเตี๋ยวทั่วไปนั่นเอง แต่แล้ว ผมก็เห็นหลวงพ่อปราดสายตามองร้านทั่วไปอยู่พักหนึ่ง แล้วท่านก็เดินฉับๆ(กระฉับกระเฉงและไม่รอใครๆ)ตรงดิ่งเข้าร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นปลาร้านเล็กๆร้านหนึ่งที่ยังไม่มีลูกค้าเลยแม้แต่รายเดียว มีคุณป้าและลูกสาวนั่งเหงาๆรอลูกค้าอยู่ ร้านนี้เป็นเพียงร้านที่กางเต๊นท์ง่ายๆ ให้ลูกค้า และมีรถเข็นสำหรับตั้งเครื่องก๋วยเตี๋ยวเท่านั้น ผมและแม่ชีจึงเดินตามท่านเข้าไป จากนั้น หลวงพ่อก็นั่งที่โต๊ะหนึ่งแต่เพียงผู้เดียว ส่วนแม่ชี ๓ รูปนั่งอีกโต๊ะหนึ่ง และผมนั่งอีกโต๊ะหนึ่ง
จากนั้น แม่ชีได้กระซิบบอกผมอีกว่า ก๋วยเตี๋ยวสำหรับหลวงพ่อและแม่ชีทั้งหมด ให้ใส่เฉพาะเส้นก๋วยเตี๋ยว ถั่วงอก และน้ำซุปก็พอ! เนื้อสัตว์และลูกชิ้นใดๆไม่ต้องใส่ เพราะถึงใส่ไปหลวงพ่อกับแม่ชีก็ไม่ฉันอยู่ดี ผมจึงไปสั่งอาหารตามนั้น

เมื่อผมสั่งอาหาร คุณป้าที่ทำก๋วยเตี๋ยวก็ประหลาดใจว่าหลวงพ่อจะฉันเข้าไปได้ยังไง เพราะร้านนี้เป็นร้านก๋วยเตี๋ยวหมู และลูกชิ้นปลา ถ้าใส่เพียงเส้น-ถั่วงอกและน้ำ มันจะไปถึงรสถึงชาดได้อย่างไร แต่เมื่อผมบอกคุณป้าว่า หลวงพ่อท่านฉันมังสวิรัติ ท่านไม่แตะต้องเนื้อสัตว์ แต่ก็ไม่ต้องเคร่งมากขนาดต้องต้มน้ำแกงใหม่ให้หลวงพ่อ คือให้ทำก๋วยเตี๋ยวแบบปกติแต่ไม่ต้องใส่เนื้อสัตว์ทุกชนิดแค่นั้นเอง คุณป้าจึงเข้าใจ (แต่สำหรับผมแล้ว ก๋วยเตี๋ยวชามของผมเป็นแบบครบเครื่องครับ ใส่มันทุกอย่างจนล้นชาม และหลวงพ่อก็ไม่เคยว่าอะไรอยู่แล้วครับ)

เมื่อหลวงพ่อและแม่ชีฉันเสร็จ(ฉันเพียงองค์ละชามและน้ำแข็งเปล่าแก้วพลาสติกอีกองค์ละ ๑ แก้ว) ท่านก็ลุกขึ้นเตรียมเดินออกจากร้าน ผมจึงเดินไปหาคุณป้าเพื่อจะจ่ายเงิน แต่แล้วคุณป้าและลูกสาวก็หันมาแล้วนั่งยองๆกับพื้นพร้อมกับยกมือไหว้หลวงพ่อและพูดว่า ?อิฉันไม่เก็บเงินหรอกเจ้าค่ะ ขอถวายหลวงพ่อไปเลย เพราะไม่รู้จะเก็บได้ยังไง หลวงพ่อฉันแต่เส้นและน้ำกับผักนิดหน่อยเอง เนื้อสัตว์ไม่ใส่ อิฉันไม่เคยขายแบบนี้ แต่ได้เห็นหลวงพ่อฉันหมดแล้วก็สบายใจ จึงขอทำบุญถวายมื้อนี้เองเจ้าค่ะ?

หลวงพ่อจึงหยุดยืนแล้วมองไปที่คุณป้าและลูกสาวพลางพูดด้วยน้ำเสียงเมตตาว่า ?เออ เจริญๆเถิดโยม? แล้วท่านก็ถามโยมอีกว่า ?ขายดีหรือเปล่าล่ะโยมพักนี้? คุณป้าก็ตอบว่า ?ไม่ดีเลยเจ้าค่ะ เพราะเป็นร้านปลายซอย คนเขาเข้ามาเขาก็เข้าแต่ร้านต้นๆซอย และร้านก๋วยเตี๋ยวกับร้านข้าวต่างๆก็มีอยู่เต็มซอย ลูกค้าจะเหลือถึงเราก็น้อยแล้วค่ะ ทุกวันนี้มันลำบากจริงๆ ลูกค้านับคนได้เลยค่ะ นี่ก็กู้เงินเขามาหลายหมื่น ยังใช้หนี้เขาไม่หมดเลย คนจนมันลำบากอย่างนี้แหละค่ะ?

แล้วผมก็เห็นหลวงพ่อยิ้มหน่อยหนึ่ง พลางพูดว่า ?นั่นแหละฉันถึงเข้ามาร้านนี้ ธรรมดาแล้วไม่ได้มาได้ง่ายๆหรอกนะโยมเอ๊ย แต่หลวงพ่อจะแนะนำสักหน่อยนะโยม ตอนเช้าๆก่อนเปิดร้านก็หมั่นทำบุญใส่บาตรเน้อ พระองค์ไหนมาก็ใส่ท่านไปเถอะ เป็นบุญเป็นกุศลแล้วล่ะโยม? แล้วท่านก็เดินออกจากร้านมุ่งตรงไปที่รถของผม แล้วก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปศรีราชาเพื่อลงเรือไปเกาะสีชัง

ถัดจากนั้นมาสองปี ผมได้แวะไปร้านนี้อีกทีหนึ่ง เพราะไปทำธุระเรื่องทำพาสปอร์ตที่ห้างอิมพีเรียลบางนา(ไม่ทราบชื่อห้างนี้ถูกหรือไม่ เพราะเหตุการณ์ผ่านมานานแล้วครับ) หลังแนะนำตัวเองกับคุณป้าคนเดิมว่า ผมเป็นคนที่พาหลวงพ่อกับแม่ชีมาฉันที่ร้านนี้เมื่อสองปีก่อน คุณป้าก็ดีใจ พลางพูดว่า ?ตั้งแต่หลวงพ่อมาฉันคราวนั้น ร้านก็ขายดีขึ้นผิดหูผิดตาเลยหนุ่มเอ๊ย คนไม่รู้มาจากไหนเต็มไปหมดทุกวัน ตอนนี้ป้ากับลูกเลยเหนื่อยสายตัวแทบขาด แต่ก็ดีใจที่ขายดี ป้ายังนึกกราบหลวงพ่อทุกวัน แต่ไม่รู้ว่าหลวงพ่ออยู่ที่ไหน ท่านชื่ออะไรป้าก็ยังไม่รู้ วันนั้นก็ไม่ได้ถามท่าน ป้ายังนึกเสียดายอยู่เลย? ผมเลยบอกคุณป้าถึงชื่อเสียงเรียงนามของหลวงพ่อ แล้วผมยังเดินไปที่รถหยิบเอาหนังสือกับเทปธรรมะของหลวงพ่อให้คุณป้าไว้ คุณป้าก็ยกมือพนมไหว้หนังสือและเทปที่ผมให้ พลางหยิบเงินจำนวนหนึ่งฝากให้ผมนำมาทำบุญกับหลวงพ่ออีกด้วย

ครั้นเมื่อผมได้มีโอกาสสนทนากับหลวงพ่อ ผมถามท่านว่า ?หลวงพ่อครับ ทำไมดูเหมือนว่าใครบางคนเขาทำบุญกับหลวงพ่อแล้วเขาเจริญขึ้นทันตาเห็น อย่างนั้นเรียกว่าเป็นบารมีของหลวงพ่อหรือเปล่าครับ?

หลวงพ่อตอบว่า ?ไม่ใช่หรอกพงศ์เอ๊ย ไม่ใช่บารมีของหลวงพ่ออะไรดอก เป็นบุญของพวกเขาเอง ใครทำใครก็ได้ แต่ทีนี้พุทธองค์ท่านก็จำแนกไว้อยู่ว่า ทานที่ทำแด่ท่านผู้เป็นทักขิไณยบุคคลย่อมมีอานิสงส์มาก เริ่มตั้งแต่ผู้มีศีล เรื่อยไปจนถึงพระขีณาสพ ก็มีอานิสงส์แตกต่างกันไป ก็เป็นไปตามความบริสุทธิ์ของผู้รับและความศรัทธาตั้งใจจริงของผู้ให้ รวมถึงทานนั้นก็เป็นของไม่ได้ลักขโมยใครเขามา เป็นของบริสุทธิ์ ก็มีอานิสงส์มากเป็นธรรมดา เท่านั้นแหละ?

เมื่อหลวงพ่อกล่าวมาถึงตอนนี้ ผมก็นึกขึ้นได้ถึงในอดีตตลอดสิบปีที่ผมได้ใกล้ชิดหลวงพ่อและวัดถ้ำยายปริก ผมระลึกได้ว่า ในช่วงเวลาดังกล่าว ผมมีงานทำเป็นของตัวเอง มีรายได้ดีพอสมควร และผมก็ได้รับคำแนะนำจากหลวงพี่วิชัย(พระในวัดรูปหนึ่งที่อดีตเป็นรุ่นพี่มหาวิทยาลัยขอนแก่นของผม)ว่า ให้หมั่นทำบุญสุนทาน อย่างน้อยก็ถวายเงินวัดทุกเดือน เมื่อเงินเดือนออก นอกจากให้พ่อแม่แล้วก็ควรแยกส่วนหนึ่งถวายวัดเป็นประจำ จะเป็นวัดใดก็ได้ แต่ทั้งนี้ ด้วยผมระลึกถึงคำแนะนำของหลวงพี่ฯ ว่าผมได้ประโยชน์จากการชี้ทางบุญกุศลของท่าน ผมจึงถวายแด่วัดถ้ำยายปริก (ส่วนวัดอื่นและการกุศลสาธารณะอื่นๆผมก็ทำเป็นปกติอยู่แล้วครับ เพียงแต่ไม่ได้ตั้งใจว่าจะต้องทำทุกเดือนเหมือนอย่างวัดถ้ำยายปริก) โดยการส่งทางธนาณัติบ้าง ไปถวายด้วยตนเองบ้าง เป็นประจำเรื่อยมาทุกเดือนไม่เคยขาดตลอดสิบปี ซึ่งก็เป็นไปตามที่หลวงพี่ฯท่านแนะนำว่า ?มากบ้างน้อยบ้างก็อย่าให้ขาด จำนวนเงินมากน้อยไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ความสม่ำเสมอเราต้องทำ เพื่อเป็นกำลังบุญหนุนส่งเราไว้ไม่ให้ตกต่ำไปได้?

หมายเหตุ ผมขอเสริมสักเล็กน้อยว่า ผมก็ทราบมาว่า สมัยที่หลวงพี่วิชัยยังไม่ได้บวช ตอนท่านยังเป็น ผอ.โรงพยาบาลพระอาจารย์ฝั้น อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร และท่านเป็นแพทย์ประจำองค์หลวงปู่เทสก์ เทสรังสีด้วย ซึ่งท่านก็ได้ทำบุญกับหลวงปู่ฯอยู่เป็นประจำ ตลอดจนถึงทำบุญกับพระป่าต่างๆที่ท่านได้ไปมาหาสู่อยู่อย่างใกล้ชิด แต่ถึงกระนั้น ท่านก็ยังส่งเงินมาถวายหลวงพ่อประสิทธิ์และวัดถ้ำยายปริกอยู่เป็นประจำทุกเดือนมิได้ขาดเช่นเดียวกัน แม้กระทั่งเวลาจะบวชที่วัดถ้ำยายปริก ท่านก็ถอนเงินเก็บทั้งหมดที่มี(ก็มากโขอยู่ครับ) มาถวายวัดถ้ำยายปริกด้วย

หลวงพี่วิชัย เคยสอนผมเกี่ยวกับการทำบุญถวายทานว่า ?สำหรับที่วัดเรานี้ (วัดถ้ำยายปริก) หลวงพ่อท่านรับถวายเงินและข้าวของต่างๆ แม้ผู้ทำจะทำให้ท่านโดยจำเพาะเจาะจงหรือไม่ก็ตาม ท่านก็นำเข้าสู่กองกลางทั้งหมด ต่อเมื่อผู้ใดขาดแคลนสิ่งใดก็มาเบิกไปใช้ ส่วนเงินก็นำไปใช้ในกิจการส่วนกลาง เช่นก่อสร้างถาวรวัตถุ กุฏิ วิหาร ศาลา ถนน อ่างเก็บน้ำต่างๆในวัดให้พระและชีได้อาบและดื่มกิน รวมถึงค่าไฟฟ้าและการจำเป็นจิปาถะอื่นๆ ทั้งหมดนี้มิใช่เพื่อคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นไปเพื่อพระศาสนาโดยส่วนรวม และการที่ไม่ได้จำเพาะเจาะจงแก่ใครๆ ย่อมจัดว่าเป็น ?สังฆทาน? ไปด้วยในตัวเพราะการไม่ได้จำเพาะถึงภิกษุรูปใดนั่นเอง จึงจัดว่ามีอานิสงส์มาก นั่นแหละเป็นเมตตาของหลวงพ่อที่ท่านให้เราได้ทำบุญกุศลอันมีอานิสงส์มหาศาล ท่านไม่เคยโฆษณาหรอก ท่านก็ช่วยเหลือเราเงียบๆนั่นแหละ?

หลวงพี่กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ?หลวงพ่อเคยอธิบายว่า การจะทำ ?สังฆทาน? นี้ ถ้าจะให้มีอานิสงส์เต็มที่อย่างไพบูลย์ นอกจากเราต้องทำอย่างไม่จำเพาะเจาะจงแก่สงฆ์ท่านใดแล้ว หากทานนั้นตกถึง ?หมู่สงฆ์? อันเป็น ?สงฆ์อย่างแท้จริง? คือเป็นผู้หนึ่งในคู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ (โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล) คือถ้าหากในหมู่ผู้รับนั้น มีผู้เข้ากระแสแห่งอริยธรรมอยู่ ทานนั้นย่อมสำเร็จประโยชน์อย่างมหาศาลนับผลไม่ได้เป็นเท่าทวีคูณ?

สุดท้าย เมื่อผมได้สนทนากับหลวงพ่ออีกครั้งเกี่ยวกับเรื่องทานนี้ หลวงพ่อก็สอนแบบปิดท้ายให้ว่า ?ทานที่เอ็งทำไปทั้งหมดนั้น อานิสงส์มากน้อยเอ็งอาจไม่เห็นได้ชัด เพราะยังมีกิเลสปิดบังตาอยู่ ยังมีความรู้สึกปรุงแต่งอยู่ ว่าอยากเห็นผลเร็วๆ อยากร่ำอยากรวย แต่สุดท้ายสักวันหนึ่งหากเอ็งลำบากขึ้นมาอย่างสาหัส เมื่อนั้นแหละอานิสงส์ที่เอ็งทำไว้ดีแล้วนั้นก็จะช่วยเอ็งเองหรอก มันจะช่วยไม่ให้เราตกต่ำ หลวงพ่อรับรอง?

?แต่อย่างไรเสียก็ให้ระลึกว่า เราทำทานและรักษาศีล เจริญภาวนาใดๆ ก็เพื่อให้พ้นจากกองทุกข์ทั้งสิ้น! มันจะทุกข์แบบใดทั้งทางโลกหรือทางธรรมก็ให้มันพ้นไปเสีย ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏฏ์อีก ถ้ามาเกิดอีก เกิดเป็นมนุษย์ก็ต้องมาเป็นเด็กให้เขาเช็ดขี้เช็ดเยี่ยว ร้องอ้อแอ้ให้เขาหัดสอนพูดจา กว่าจะโตกว่าจะเรียนรู้อะไรๆอีกก็ไม่ใช่ง่ายๆ ต้องใช้เวลา แล้วจะหวังพึ่งว่าเรามีอุปนิสัยในทางธรรมมาก่อนก็ยังไม่แน่นัก เพราะอำนาจของกิเลสมันหนักหนาไม่ใช่น้อย หากเราพลั้งพลาดไป หลงปล่อยตัวปล่อยใจไปกับอำนาจกระแสกิเลสตัณหาและความรู้สึกปรุงแต่งต่างๆ จนไปทำบาปทำชั่ว ก็พุ่งหลาวลงสู่ภพต่ำอีก เป็นเช่นนี้ไปจนกว่าจะมีดวงตาเห็นธรรมด้วยตนเอง ซึ่งไม่รู้จะเป็นเมื่อไร นี้แหละคือความไม่เที่ยงและความน่าเบื่อหน่ายของวัฏฎสงสารล่ะ แล้วเอ็งยังจะมาสนุกสนานและประมาทกับผลเพียงจากการทำทานหรือ เอ็งต้องหมั่นเจริญสติสมาธิภาวนาด้วย ต้องมีสติสมาธิให้มั่นคง พิจารณาธรรมโอปนยิโกน้อมเข้ามาใส่ตัว จนเห็นรอบในกองสังขาร ทำลายความรู้สึกคิดนึกปรุงแต่งให้หมดนั่นแหละจึงจะพ้นทุกข์อย่างถาวร เข้าใจหรือยัง?
?กระแสธรรม?

เรื่องราวต่อไปนี้ ท่านผู้อ่านกรุณาพิจารณาด้วยใจเป็นธรรม อย่าได้กล่าวโทษหลวงพ่อหาว่าท่านอวดอุตริมนุษยธรรมเลย เพราะสิ่งที่ท่านกล่าวกับผม (และผู้ปฏิบัติธรรมบางท่าน) ต่อไปนี้ ท่านเล่าเสมือนหนึ่งว่าพ่อเล่าให้ลูกฟัง ด้วยเห็นว่าลูกจะได้ประโยชน์จากการนั้น จะได้มีกำลังใจปฏิบัติธรรมให้ก้าวหน้าก็แค่นั้น เรื่องมีอยู่ว่า

ผมเคยสงสัยว่า หลวงพ่อปฏิบัติมาด้วยตัวเองก็จริง (ท่านไม่ได้นับถือใครๆเป็นครูบาอาจารย์สอนธรรม นอกจากพระธรรมของพระศาสดาและกายใจ สติปัญญาของท่านเท่านั้น) แต่ท่านไม่เคย"สัมผัส"กับครูบาอาจารย์รูปใดๆเลยหรือ เมื่อผมถามท่าน ท่านก็ตอบว่า "เคยเหมือนกัน เราปกติก็อยู่เฉยๆของเรา แต่แล้วกระแสธรรมนั้นมันถึงกัน ไม่ต้องไปเดินหากันหรอก? ผมจึงกราบเรียนถามให้ท่านยกตัวอย่าง ท่านก็ตอบให้ต่างกรรมต่างวาระตามที่ผมรวบรวมมาได้ดังนี้

"ครั้งหนึ่ง ตอนหลวงพ่อเดินจงกรมหน้าถ้ำ หลวงปู่มั่นก็มาปรากฎให้เห็น พูดสั้นๆกับเราว่า "เราพวกเดียวกัน" แล้วท่านก็หายวับไป หลวงพ่อตอนนั้นไม่รู้หรอกว่าท่านชื่อหลวงปู่มั่น ด้วยจิตเรามันเป็นอันเดียวดิ่ง ไม่ได้สนใจอะไรทั้งนั้น เห็นแล้วก็แล้ว ต่อมาได้เห็นรูปท่าน ถามโยมๆ เขาก็บอกว่านี่หลวงปู่มั่น แล้วย้อนสัญญาดูจึงว่า เออ ท่านคงมาเป็นกำลังใจให้เรากระมัง"

"หลวงปู่ดูลย์ก็เหมือนกัน มาปรากฎพร้อมกับแม่ชีที่เป็นคู่บารมีของท่าน พูดสั้นๆว่า "เราเหมือนกัน" แล้วก็หายวับไป ท่านกับคู่บารมีมาพร้อมกันก็แสดงให้เห็นว่าสำเร็จไปด้วยกันนั่นเอง นี่แหละหลวงพ่อจึงเที่ยวป่าวประกาศยืนยันอยู่จนทุกวันนี้ว่า อย่าไปสนใจเลยภิกษุณงภิกษุณีอะไรนั่น แม่ชีก็สำเร็จได้ พระหรือชี หญิงหรือชายก็ไม่แตกต่าง มีมือมีเท้าเหมือนกัน นั่ง เดิน ยืน นอน เหมือนกัน กินเข้าไปยังเอาไว้ไม่ได้ก็ต้องถ่ายออกมาเหมือนกัน ร่างกายสกปรกเน่าเหม็นเหมือนกัน ตายแล้วเผาไฟฝังดินเหมือนกัน กระดูกป่นปี้ไปเป็นผุยผงแล้วชายหรือหญิงยังแยกไม่ออก นั้นแหละคือของจริงล่ะ แล้วจะเอาอะไร เอาแต่สติและความเพียรซี่ กาย เวทนา จิต ธรรม กำหนดดูมันเข้าไป อย่าไปสนใจเลยชายหรือหญิง อย่าไปท้อ "ลูกตถาคตไม่มีคำว่าถอยหลัง" จำไว้เถอะ"

"ตอนที่หลวงพ่อยังอยู่ในถ้ำ (ถ้ำยายปริก) คนเดียว หลวงปู่ฝั้นก็มาคุยด้วยบ่อยๆ คุยกันภาษาธรรมนั่นแหละ ครั้งหนึ่งหลวงพ่อเจ็บปวดมวนในท้อง ท่านยังเอามือของท่านมาจับที่ท้องหลวงพ่อบริเวณรัดประคด แล้วอาการก็ทุเลา อาจารย์ฝั้นท่านเก่งเรื่องหมอเรื่องหยูกยา เป็นวาสนาของท่าน"

นานมาประมาณ ๗ ปีก่อน หลวงพ่อสูบบุหรี่ยี่ห้อ "สายฝน" เป็นประจำ ผมถามท่านว่าสูบทำไม (ผมบอกตามตรงว่าไม่ชอบให้ท่านสูบเลย ด้วยเป็นห่วงสุขภาพของท่าน และเกรงว่า คนที่เขาถือเคร่งเรื่องเหล่านี้จะตำหนิท่านเอาได้) ท่านก็ตอบสั้นๆเรียบๆว่า "สูบเรียกฝน" คราใดที่ท่านจุดมวนบุหรี่สูบ สักพักฝนจะตั้งเค้าแล้วตกลงมามากบ้างน้อยบ้างจนเป็นเรื่องปรกติ แต่แล้ววันหนึ่งผมไปวัดแล้วสังเกตเห็นว่า หลวงพ่อไม่สูบบุหรี่อีกเลย (มาจนกระทั่งบัดนี้) ผมถามท่านถึงสาเหตุที่ท่านเลิกสูบเด็ดขาด ท่านตอบว่า "พุทธทาสกับพระอีกองค์หนึ่ง ท่านมาให้เห็นเมื่อวันก่อน ท่านมาเตือนให้งดสูบบุหรี่อย่างเด็ดขาด ไม่งั้นมะเร็งจะกินตั้งแต่ปากลงไปเลย ท่านยังแสดงภาพคางหลุดให้ดู พิจารณาแล้วก็เห็นจริงจึงเลิกสูบ ก็ขว้างทิ้งไปเลยนั่นแหละ ไม่ยากอะไร ดูเอาเถอะ พุทธทาสท่านสำเร็จไปแล้วยังมีใจเมตตาแก่เรา มาเตือนเราเพื่อว่าเราจะได้อยู่ช่วยกิจพุทธศาสนาไปได้นานๆ" (ผมถามท่านเพิ่มเติมทันทีว่า พระอีกองค์นั้นคือใคร ท่านตอบง่ายๆว่า "ลืมไปแล้ว รู้แต่ท่านบอกว่าท่านนิพพานไปพันกว่าปีแล้ว" )

เมื่อหลวงพ่อกล่าวถึงตรงนี้ ผมจึงถามท่านว่า "หลวงพ่อจะอยู่กับพวกผมไปอีกนานเท่าไหร่ครับ ผมขออาราธนาให้อยู่ไปนานๆ เพราะพวกผมยังเพิ่งเริ่มปฏิบัติ ขอหลวงพ่อเมตตาเถิดครับ" ท่านตอบพลางหัวเราะเบาๆว่า "เออ หลวงพ่อคงไม่อยู่กับพวกเอ็งไปจนถึงร้อยปีหรอก เอาแค่ ๙๔ ก็พอ ถึงตอนนั้นการก่อสร้างต่างๆก็คงจะเสร็จสมบูรณ์ดีแล้ว และเมล็ดพันธุ์ภาวนาที่หลวงพ่อหว่านเอาไว้ในวัดนี้ คงจะเจริญงอกงามดีในจิตในใจของพวกเอ็ง ก็คงจะพึ่งตัวเองกันได้แล้ว หลวงพ่อก็ถึงเวลาไปเสียที ไม่ห่วงหาอาวรณ์หรอก ใครที่อยู่ทางนี้ถ้าคิดถึงหลวงพ่อถ้าติดขัดปัญหาภาวนาอย่างไร ในเรื่องปฏิบัติธรรม จงไปตั้งสัจจะอธิษฐานที่หน้ารูปเหมือนของหลวงพ่อเถิด (หลวงพ่อกล่าวพลางชี้ขึ้นยอดเขาที่เป็นที่ประดิษฐานรูปหล่อโลหะสัมฤทธิ์ของท่าน) เพราะอันนั้นคือตัวจริง จะสถิตย์สถาพรต่อไปนับร้อยนับพันปี ส่วนตัวนี้ (ท่านพูดพลางชี้เข้าหาตัวท่านเอง) คือตัวปลอม มีแต่เน่าเปื่อยผุพังไป อ่อนล้าลงเรื่อยไป จะหมดกำลังหมดแรงพูด ล้มหมอนนอนเสื่อเมื่อใดก็ยังไม่แน่ หลวงพ่อขออย่างเดียวคือให้พวกเอ็งตั้งใจปฏิบัติ แม้ต่อไปหลวงพ่อไม่อยู่ หลวงพ่อสั่งพระชีทั้งหมดในวัดไว้แล้วว่า ให้ก้มหน้าก้มตาปฎิบัติไป เรื่องภายนอกอย่าไปสนใจอะไรทั้งสิ้น แล้วที่สำคัญคืออย่าไปหลอกเขากิน หมอดูผูกดวง บอกใบ้ให้หวย ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง เป่าน้ำหมากพ่นน้ำมนต์ หรืออวดเคร่งข้อวัตรอะไรต่างๆ หรือต่อหน้าอย่าง ลับหลังอีกอย่าง อย่าไปทำ ขอให้มุ่งปฏิบัติประกอบความเพียรไม่ท้อถอยเพียงอย่างเดียว รับรองไม่ตกต่ำ แล้วไม่ต้องกลัวอดตาย เราไม่ไปเขาก็เอามาให้เอง อย่าไปดิ้นรนแสวงหา แล้ววันหนึ่งเมื่อเราทำลายความรู้สึกปรุงแต่งในใจหมดสิ้น ก็ไปอยู่กับพระพุทธเจ้า ปรมังสุขัง ปรมังสุญญัง ก็จบสิ้นกันแค่นั้น"

หมายเหตุ: หลวงพ่อจะอายุครบ ๘๔ ปีบริบูรณ์ในวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๐ นี้ แต่ในวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อประสิทธิ์ ที่วัดจะไม่มีการจัดงานใดๆทั้งสิ้น และโดยปกติแล้ว ไม่ว่าผ่านมากี่ปี หลวงพ่อก็ไม่เคยที่จะจัดงานเฉลิมฉลองหรือทำบุญใดๆอันเนื่องมาจากการเป็นวันคล้ายวันเกิดของท่านเลย ทั้งนี้ อย่าว่าแต่การจัดงานเลย แม้แต่จะเพียงแค่กล่าวถึงก็ไม่มีออกจากปากหลวงพ่อ จะมีก็แต่พวกในหมู่พระชีและลูกศิษย์ที่จะกล่าวเตือนกันว่าวันนี้หลวงพ่ออายุครบเท่านี้ปีนะ เป็นต้น

ปกติของหลวงพ่อประสิทธิ์คือ ท่านไม่นิยมการกล่าวถึงวันคล้ายวันเกิดของท่าน ท่านกล่าวว่า ?พวกเราเกิดมาแล้วตอนออกจากท้องแม่ ถัดจากนั้นมาก็มีแต่ดับไปๆทุกลมหายใจเข้าออก จนเป็นนาที ชั่วโมง วัน เดือน และปี ที่เรียกว่าเราเจริญเติบโตขึ้นจนหนุ่มสาว และแก่เฒ่า อันนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา ที่จริงคือเรากำลังเดินไปสู่ ?ความตาย? ต่างหาก ฉะนั้น ถ้าว่าวันครบรอบวันเกิด อันนั้นมันไม่ให้คติอะไรเลย มีแต่จะเฉลิมฉลองกันให้เปล่าประโยชน์ ที่ถูกแล้วจึงควรจะเรียกว่า ?วันดับ? มากกว่า คือมันดับไปแล้วครบอีก ๑ ปี เพราะสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ก็คือการดับไปล่วงไป ตายไปอีก ๑ ปี!?

ครั้งหนึ่ง ในวันที่ ๑๔ มกราคม หลายปีมาแล้ว ผมเคยกราบเรียนบอกหลวงพ่อว่า วันนี้เป็นวันเกิดหลวงพ่อใช่ไหมครับ ท่านตอบเร็วว่า ?วันก่งวันเกิดอะไร เราแก่จนจะเข้าโลงอยู่แล้ว จะมาเกิดอะไรอีก วันนี้น่ะวันดับไปครบอีกหนึ่งปีต่างหาก อีกหน่อยก็จะดับจริงๆ เข้าโลงไปเลย สบาย...? และถัดจากนั้นมา ผมก็ไม่เคยเห็นท่านกล่าวถึงวันเกิดของท่านอีกเลย และแม้แต่พระชีในวัดก็จะไม่มีใครกล้าพูดถึงต่อหน้าท่าน เมื่อท่านไม่พูดอย่างนี้

เมื่อวันที่ ๑๔ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๘ หลวงพ่อก็ไม่กล่าวถึงว่าเป็น "วันดับ" ของท่านอีกเช่นกัน ก็ดูเหมือนว่าทุกคนจะลืมๆไปเลย ก็ไม่มีใครสนใจอะไร แต่ว่า ในวันนั้น เกิดฝนตกพรำๆตั้งแต่เช้ามืดหลังพระบิณฑบาตไปจนกระทั่งบ่าย ปริมาณน้ำฝนที่ตกลงมา ทำให้อ่างเก็บน้ำต่างๆในวัดเต็มเปี่ยมจนหมด น้ำใสสะอาดเต็มไปทั่ว และทำให้อากาศเย็นสบายหลังจากร้อนอบอ้าวมานาน ก่อนหน้านี้ อ่างเก็บน้ำต่างๆในวัดก็เกือบแห้งขอด จนกระทั่งมาครบ ?วันดับ? หลวงพ่อนี่แหละครับ จึงมีฝนตกลงมาช่วยให้มีน้ำเก็บไว้ได้อีก (ที่วัดไม่มีน้ำประปาใช้ ต้องอาศัยน้ำฝนอย่างเดียว หลวงพ่อจึงให้สร้างอ่างเก็บน้ำหรือบ่อเก็บหลายขนาดไว้ ก็อาศัยแรงพระ ชี และอุบาสกอุบาสิกานี่แหละครับช่วยกัน) แต่ในความรู้สึกของผม ผมสังเกตว่าไม่เคยมีเลยที่วัดถ้ำยายปริกจะขาดน้ำจริงๆ เพราะสังเกตได้ว่า พอน้ำใกล้จะหมดก็จะมีฝนตกลงมาห่าใหญ่ตลอดทุกที อย่างนี้พอจะเรียกได้ว่า ?ธรรม(ชาติ)ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม? ได้หรือไม่ครับ
"ทำเอา-ทำไม่เอา"

จากการที่มีหลายท่านได้ไปวัดถ้ำยายปริกมาแล้ว อาจจะมีบางท่านไม่ค่อยเห็นด้วยกับการก่อสร้างในวัดที่อาศัยแรงงานของพระและชีในวัด ที่บางท่านอาจจะมองว่าเหตุใดนักบวชจึงมาวุ่นวายกับการก่อสร้าง ใยจึงไม่ไปภาวนาหาความสงบ ซึ่งแม้แต่ผมเองในอดีตเมื่อช่วงเข้าวัดถ้ำยายปริกไปใหม่ๆเมื่อสิบกว่าปีก่อนก็คิดเช่นนั้น เหตุหนึ่งก็เพราะว่าในอดีตผมเคยเป็นคนที่ชอบเข้าวัดป่า และนับถือศรัทธาสายหลวงปู่มั่นอย่างมากๆชนิดที่เรียกว่า พระถ้าไม่ใช่สายหลวงปู่มั่นก็ไม่น่าไว้วางใจ และถ้าเป็นสายหลวงปู่มั่น (หรือสายวัดป่า, สายธรรมยุติ, ฯลฯ)ล่ะก็วางใจได้ว่าท่านปฏิบัติดีจริง ซึ่งอันที่จริงผมก็ว่าถูก แต่ไม่ถูกทั้งหมด เพราะถัดมาเมื่อผมลองพิจารณาแล้วก็พบว่า ภิกษุท่านใดๆก็ตาม หากปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วก็เป็นอันว่าดีทั้งนั้น และพระบางท่านก็อาจจะไม่ได้ร่วมบุญมากับสายหลวงปู่มั่น ด้วยท่านปรารถนาบำเพ็ญมาด้วยแนวทางขององค์ท่านเอง แต่ท่านก็น่าจะปฏิบัติดีปฏิบัติชอบก็น่าจะมีมิใช่หรือครับ

ย้อนกลับมาที่การก่อสร้างในวัดถ้ำยายปริก เท่าที่ผมเคยได้ใกล้ชิดหลวงพ่อ และได้เห็นการนำก่อสร้างภายในวัดด้วยองค์ท่านเองมามาก ในอดีตนั้น หลวงพ่อจะนำทำด้วยองค์ท่านเอง เช่น ออกแบบ วางแผนงาน คำนวณปริมาณของที่ต้องใช้(ซึ่งหลวงพ่อทำได้อย่างแม่นยำมากจนแม้แต่ช่างฝีมือเองยังประหลาดใจ) จนถึงการลงมือทำ เช่น การมายืนต่อแถวรับช่วงถังปูน การตอกตะปู ฯลฯ เหล่านี้ผมก็เคยเห็นหลวงพ่อนำทำมาด้วยตาผมเองแล้ว แต่ต่อมาเมื่อท่านเริ่มชราภาพอ่อนแรงลง ท่านก็เป็นแต่เพียงผู้แนะนำและผู้ให้กำลังใจอยู่ใกล้ๆพวกเรา ซึ่งในเรื่องการก่อสร้างนี้ ผมได้ข้อคิดจากหลวงพ่อว่า ?วัดทั่วไปเขาจะมีสองแบบ แบบหนึ่งก็ยึดแต่วัตถุ ก่อสร้างเอาใหญ่เอาโตเข้าว่า เพื่อมาประชันขันแข่งอวดบุญญาวาสนา แต่พระในวัดไม่สนใจปฏิบัติ แบบนั้นเราไม่เอา ส่วนอีกแบบหนึ่งก็เช่นพวกวัดป่าวัดเขา พวกนั้นเขาก็ไม่สร้างอะไรมาก เน้นภาวนาอย่างเดียว จริงๆแล้วหากตั้งใจภาวนาอย่างเดียว เราก็อนุโมทนา แต่ก็ต้องระวังมันจะไปเอาแต่ความสงบ คือเอาแต่สมถะ แต่ความแยบคายในสติปัญญานี้ขาดไป ที่นี่เราจึงให้พัฒนาถาวรวัตถุไปพร้อมๆกันกับทั้งกายใจ คือทำทั้งถาวรวัตถุและสร้างพระในใจไปพร้อมกัน?

เมื่อผมถามท่านว่า ?แล้วอย่างนี้ไม่เรียกว่าเป็นการจับปลาสองมือหรือครับ? ท่านก็ตอบพร้อมทั้งหัวเราะว่า ? จับปลาใช้สองมือสิจะได้จับได้แน่นๆ? แล้วท่านก็ขยายความว่า ? เราพัฒนาวัดไป โยมเขามาเห็นเขาจะได้เกิดกุศลจิต เงินทองที่เขาถวายมา เราก็เอามาทำให้โยมเขาทั้งนั้น ไม่ได้เอาไปทำประโยชน์ส่วนตนของใคร และอีกอย่างคือ เราทำแบบปรมัตถ์ คือ ทำไม่เอา ทำแล้วก็ทิ้งไปๆทุกวันเวลานาที ไม่ได้ยึดถือเอาเป็นของเราสักอย่างเดียว เพราะมันเป็นของพระศาสนาทั้งนั้น เราสร้างไว้แล้ววันหนึ่งเราก็ต้องตาย ไม่ใช่ว่าจะแบกหามเอาไปด้วยได้ สิ่งที่เราสร้างไว้มันจึงตกเป็นของพระศาสนา จึงไม่เรียกว่าเสียเปล่าแต่อย่างใด?

ผมถามท่านอีกว่า ?แล้วที่เรียกว่าสร้างพระในใจไปด้วยล่ะครับ หมายความว่าอย่างไร? ท่านตอบว่า ?อ้าว ก็คือที่เรา ทำไม่เอา นั่นแหละคือ ไม่มีของกูตัวกู มีแต่ทำอุทิศให้พระศาสนาทั้งนั้น แล้วความเป็นตัวตนมันจะมีมาแต่ที่ไหน ฟังให้ดีนะ ทางโลกน่ะมีแต่ทำเอา เอาโน่นเอานี่ เอาทรัพย์สมบัติ เอาร่ำเอารวย เอาเกียรติยศหน้าที่การงานความนิยมชมชอบจากผู้อื่น แต่ที่นี่เราทำไปแต่ไม่เอาอะไรสักอย่าง!

อย่างเวลาทำเราก็พิจารณาสติกำหนดโดยแยบคาย ทุบหิน ตีหิน เทปูน ตอกตะปู เหล่านี้ล้วนเป็นกิริยาทั้งสิ้น ก็เหมือนกิริยาในอิริยาบถ ๔ นั่นแหละ คือมีแต่เพียงยืน เดิน นั่ง นอน ขยับมือไม้ ขยับปากพูด ซึ่งหากพิจารณาให้ดีจะพบว่า มีแต่เพียงรูปกับนามที่นิ่งดับขยับเกิดไปเรื่อย สิ่งเหล่านั้นจึงมิใช่แก่นสาร แก่นสารของมันอยู่ที่การมีสติรับรู้การกระทบกับอายตนะทั้ง ๖ ต่างหาก ฉะนั้น เมื่อมีสติกำหนดกำกับอยู่ มันก็เป็นการปฏิบัติธรรมด้วยความเพียรไปด้วยในตัว ไม่แตกต่างกับการไปเดินจงกรมนั่งสมาธินั่นเลย ?

สำหรับข้อที่ว่า การก่อสร้างนั้นจำเป็นสำหรับพระหรือไม่ ผมก็ตอบตามความเห็นของผมว่า ?ไม่จำเป็น? แต่ผมก็มีแง่คิดอย่างหนึ่งที่ผมได้จากหลวงพ่อฤาษีลิงดำที่ผมเคยอ่านเจอในหนังสือของท่าน ที่ท่านกล่าวถึงหลวงพ่อปานวัดบางนมโค ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่าน มีใจความว่า ?หลวงพ่อปานท่านนำก่อสร้างในวัดด้วยตัวเองเป็นประจำ พระในวัดต้องมารวมตัวกันทำงานก่อสร้างกันตากแดดตัวดำ ต่อมาชาวบ้านเห็นเข้าก็ตำหนิว่า เป็นพระเป็นเจ้าทำไมไม่ไปปฏิบัติธรรมเจริญภาวนา วันๆเอาแต่ก่อสร้างๆ นี่มันงานของโยมเขา แต่หลวงพ่อปานก็ตอบไปว่า อย่าดูถูกพระที่มาก่อสร้าง พวกโยมรู้หรือเปล่าว่า การทำงานก่อสร้างให้วัดวาศาสนานี้น่ะ มันเป็นกุศลขนาดไหน อานิสงส์นี้ยาวนานนับอสงไขยกัปแทบหาที่สุดไม่ได้ หากเกิดชาติใดๆขึ้นชื่อว่าความยากลำบากในกิจการงานต่างๆเป็นไม่มี แล้วใครก็ตามที่บารมียังอ่อน หากได้ออกแรงอุทิศให้พระศาสนาก่อสร้างวัดวาอารามนี้ บารมีจะเต็มเร็วนัก?

ครับ ข้างต้นคือส่วนหนึ่งของคำสอนของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค ซึ่งผมเอามาเทียบเคียงกับของหลวงพ่อประสิทธิ์ ผมก็ภูมิใจอยู่ลึกๆว่า สิ่งที่เราทำไปเราก็ไม่เสียเปล่าแน่ แต่สิ่งที่หลวงพ่อประสิทธิ์เน้นหนักคือ ความหลุดพ้นในชาติปัจจุบันนี้ เรื่องกุศลอันเป็นเหตุในชาติถัดๆไป ท่านไม่นิยมกล่าวถึง เพียงแต่ท่านกล่าวว่า ?ทำเหตุให้ถึงพร้อม แล้วผลก็จะดีเอง เราทำให้เต็มที่ ทำมันทุกอย่าง สุดท้ายมันไม่ได้ชาตินี้ ก็ต้องได้ชาติถัดๆไป เรามีความเพียรไม่ย่อท้อ ทำกุศลให้ถึงพร้อม ถึงเวลาผลไม้มันจะสุก ใครก็ห้ามมันไม่ได้?

ผมขอเล่าไว้เรื่องหนึ่งให้ท่านผู้อ่านไว้พิจารณา เรื่องมีอยู่ว่า ขณะที่ผมเคยทำงานอยู่ที่บริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย ( TPI ) ซึ่งมีชื่อเสียงโด่งดังมาจนทุกวันนี้ว่า เป็นบริษัทใหญ่ที่เคยใกล้จะล้มละลาย เนื่องจากเป็นหนี้ต่างชาติอยู่เยอะมาก ในช่วงนั้น บริษัทฯโดยการดำเนินงานของชมรมพุทธฯได้นิมนต์หลวงพ่อประสิทธิ์ไปฉันเพล เมื่อหลวงพ่อฉันเสร็จ มีพนักงานระดับผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเรียนปรึกษาหลวงพ่อว่า ?ตอนนี้บริษัทกำลังมีปัญหามากเหลือเกิน จะคงอยู่หรือจะถูกยึดหรือฟ้องล้มละลายก็ยังเสี่ยงอยู่ เพราะเป็นหนี้เขานับแสนล้านบาท และเขาจะปลดพนักงานออกวันไหนก็ยังไม่แน่ ตอนนี้ทุกคนทำงานกันอย่างไม่มีจิตใจหลงเหลืออยู่แล้วครับ มีแต่ความกระวนกระ วาย พวกผมควรจะทำอย่างไรดีครับ? หลวงพ่อก็นิ่งไปพักหนึ่งแล้วตอบด้วยน้ำเสียงเมตตาว่า ?เอาเถอะ อย่ากังวลไปเลย หลวงพ่อจะแนะนำ พวกเราจงพากันทำป้ายชื่อวัดถ้ำยายปริกถวายไว้หน้าวัดเถิด ทำให้มันคงทนถาวร บริษัทจะได้มั่นคงถาวรสืบไป? ภายหลังหลวงพ่อยังกล่าวกะพนักงานบางคนที่เป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดท่านว่า ?ตราบใดป้ายนั้นยังอยู่ บริษัทก็ไม่ล้มหรอก?


ป้ายที่บริษัททีพีไอสร้างถวาย ราคาแปดหมื่นกว่าบาท โดยการรวมเงินของพนักงานไม่กี่สิบคนจากจำนวนพนักงานห้าพันคน

ย้อนกล่าวถึงเรื่องอานิสงส์การก่อสร้างนี้อีกครั้งหนึ่ง หลวงพี่วิชัย เคยกล่าวกับผมขณะที่ผมและท่าน รวมทั้งพระชีต่างๆ ทำการก่อสร้างวิหารที่ประดิษฐานรูปเหมือนของหลวงพ่อประสิทธิ์ ท่านกล่าวพลางชี้ให้ผมดูโคมไฟสีขาว ที่ติดตั้งทั้งสี่มุมของวิหารว่า ?อย่าประ มาทงานการทุกอย่างที่หลวงพ่อนำทำ ล้วนแล้วแต่เป็นกุศโลบายของท่านทั้งนั้น หากมุ่งปัจจุบันเป็นหลัก เราก็ได้พิจารณาสติโดยแยบคายกับงานที่เราทำ พิจารณาให้เห็นแต่รูปกับนามเกิดดับเรื่อยไป มันก็ได้สติสมาธิปัญญาไปพร้อมๆกัน ส่วนอานิสงส์อื่นๆ เราก็ได้ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย อย่างเอาง่ายๆ มือเราเช็ดโคมไฟ ก็พิจารณาสีขาวของมัน เพ่งมันไป อานิสงส์นี้ก็เป็นเหตุให้เราได้ทิพยจักษุในอนาคตกาล?

พระวิชัย ยังกล่าวเสริมอีกว่า ?แม้แต่เทวดาเขาก็ยังอนุโมทนา ดูเอาเถอะ วิหารแปดเหลี่ยมเหนือถ้ำยายปริก ที่หลวงพ่อท่านนำทำเมื่อสิบกว่าปีก่อน หลวงพ่อท่านก็สร้างโดยมีนัยยะแทนมรรคมีองค์แปด (ความจริงมีเหลี่ยมมุมต่างๆและจำนวนหน้าต่างแสดงธาตุทั้ง ๔ และอายตนะ ๖ และช่องทางแห่งวิมุตติ ที่ผมลืมคำอธิบายไปแล้ว เลยไม่กล้าเอามากล่าวในที่นี้ครับ) สร้างก็สร้างด้วยแรงงานของพระ,ชีและอุบาสกอุบาสิกาเช่นกัน พอสร้างเสร็จก็เอาดินจากสี่ตำบลที่ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานไว้บนยอดเจดีย์ แล้วก็เอาพระธรรมจักรประดิษฐานไว้บนยอดเจดีย์ เป็นเครื่องหมายถึงการเคารพธรรมเป็นใหญ่ ไม่ได้เอาพระธาตุไว้บนสุดเหมือนอย่างวัดและเจดีย์ทั่วๆไป ก็วัดเราไม่มีพระธาตุด้วย แต่สุดท้ายก็มีพระธาตุเสด็จมาเองกว่า ๓๐๐ องค์บนยอดเจดีย์นั่นแหละ?
ผมเคยเรียนถามหลวงพี่วิชัยว่า ?คนบางคนเขากล่าวว่ามาก่อสร้างแล้วเขาไม่ได้อะไร มีแต่เสียเหงื่อเปล่าๆ สติสมาธิไม่ได้เลย มีแต่ความวุ่นวาย? หลวงพี่วิชัยตอบว่า ?นั่นแหละเขาพูดโดยไม่มีสติ เขาพูดเองยังไม่รู้ตัวเขาเองว่าเขาพูดผิด ก็อย่างน้อยเขาก็ได้เสียสละแรงกายแรงใจช่วยงานพระศาสนา จะว่าไม่ได้อะไรเลยได้ยังไง หลวงพ่อฯสอนว่า ได้เสียสละนี้ล่ะประเสริฐสุด จำเอาไว้ให้ดี?

สุดท้าย ผมก็เลยถามหลวงพี่วิชัยกับคำถามที่ผมค้างคาใจมานานว่า การใช้สติกับกิจการงานต่างๆอย่างงานก่อสร้างนี้ มันพอเพียงหรือไม่กับการดำเนินตนเข้าสู่วิมุตติ จะไม่ใช่เป็นเพียงการมีสติในทางโลกๆหรือ ท่านตอบว่า ?หลวงพ่อสอนว่า เราทำการงานด้วยสติ มันก็มีสติและสมาธิประกอบไปในตัวของมันพอเพียงไปตามลำดับๆไป ต้องศึกษาคำสอนหลวงพ่อให้ดี ท่านไม่ได้ให้เราจับเอาอย่างใดอย่างหนึ่งจนตายตัว หลวงพ่อท่านว่องไวและแยบคายมาก ท่านให้เราใช้สติทำการงานก่อสร้าง แต่ท่านก็เน้นเสมอให้เรามีสติในทุกอิริยาบถในอิริยาบถ ๔ และอายตนะ ๖ และการทำสมาธิภาวนาท่านก็ไม่ได้ให้ทิ้ง คือสตินั้นต้องใช้ตลอดเวลา แล้วเราก็เอากิริยามาทำประโยชน์ต่อโลกอย่างที่เราทำก่อสร้างนี้แหละ และเห็นไหม พระชีวัดนี้ไม่ได้อยู่กันอย่างสบายๆ กลางวันก็ก่อสร้างกันตัวดำ ได้สังเกตเวทนาความลำบากกายใจ เห็นการเกิดดับในทุกสภาวะ พองานเสร็จก็ต่างคนต่างไป ไม่ได้แบกหามความกระวนกระวายในกิจการงานไปด้วย คือทำแล้วก็ทิ้ง คือดับไปวันหนึ่งๆ พอกลางคืนก็แยกย้ายกันปฏิบัติสมาธิภาวนา มีปัญหาติดขัดอะไรก็ไปถามหลวงพ่อ นี้แหละจะหาครูบาอาจารย์ที่ไหนสอนได้อย่างท่าน คนข้างนอกน่ะ เขาดูไม่ออกหรอก ถ้าเขามีคุณธรรมไม่ถึงพอ ที่ต่ำน่ะ มองไม่เห็นที่สูงหรอกนะ?

และครั้นผมถามท่านอีกว่า สติสมาธิที่ว่านี้เพียงพอต่อการเข้าสู่วิมุตติหรือไม่ คือผมขยายความถามท่านตรงๆว่า ? พระโสดาบันนี้ ต้องได้ฌาน ๔ หรือไม่ครับ? หลวงพี่วิชัยตอบทันทีโดยไม่ลังเลว่า ? ไม่จำเป็น แค่อุปจารสมาธิก็พอแล้ว? (คำตอบนี้ ตรงกันไม่ผิดเพี้ยนกับคำ ตอบที่ผมได้จากท่านพระอาจารย์อัครเดช (พระอาจารย์ตั๋น วัดป่าบุญญาวาส ชลบุรี) ด้วยคำถามเดียวกันครับ)

ถึงตอนนี้ ผมก็ขอเล่าไว้อีกสักเล็กน้อยครับว่า ผมเคยได้ร่วมงานก่อสร้างสิ่งก่อสร้างแทบทุกอย่างภายในวัดถ้ำยายปริกมาแล้ว เหงื่อไหลไคลย้อย เนื้อตัวดำ หนังลอกเพราะตากแดดจนเกรียมก็หลายครั้ง สิ่งก่อสร้างก็เช่น กุฏิ ศาลาต่างๆ ห้องน้ำห้องส้วม ตลอดจนกำแพงวัด ผมก็ร่วมทำมาหมดแล้ว ขาดก็แต่สิ่งก่อสร้างในช่วงหลังๆนี้ที่หลวงพ่อนำทำเช่น เมรุเผาศพแบบไร้มลพิษ, และปัจจุบันนี้ก็คือศาลาการเปรียญหลังใหม่นี้แหละครับ ที่ผมไม่ได้ร่วมด้วยเลย เพราะยังไม่ได้ไปวัดในช่วงนี้ ฉะนั้น หากท่านใดได้ไปร่วมงานก่อสร้าง ผมก็ขออนุโมทนาด้วยนะครับ
?บุญฤทธิ์-อิทธิฤทธิ์?

โดยทั่วไป หากจะสังเกตที่องค์หลวงพ่อประสิทธิ์จากภายนอกแล้ว ท่านก็ดูเป็นเพียงพระภิกษุชราธรรมดาๆรูปหนึ่ง ไม่มีอะไรพิเศษเลย ผิวพรรณของท่านออกสีดำแดง ไม่ได้ดูขาวผุดผ่องหรือมีสง่าราศีอะไร เวลาท่านหัวเราะ ท่านก็หัวเราะอย่างมี ?กิริยา? ที่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีอาการเก็บกดหรือเสแสร้งว่าเคร่งครัดสำรวม หรือเวลาเดิน ท่านก็จะเดินแกว่งแขวนฉับๆอย่างคนที่ปกติมีอาการกระฉับกระเฉงแคล่วคล่อง ท่านไปไหนมาไหนว่องไวมาก แม้ผมเองจะอายุเพียงสามสิบเล็กน้อยแต่ยังเดินตามท่านไม่ค่อยจะทัน

หากจะกล่าวถึงเรื่องผิวพรรณและหน้าตาของท่านว่าแม้เหมือนดูไม่มีสง่าราศีอะไร แต่ก็ยังเคยมีโยมผู้ชายท่านหนึ่ง อายุย่างเข้าวัยกลางคน เดินทางมาที่วัดแล้วพูดกับผมหลังจากกราบหลวงพ่อเสร็จแล้วว่า ?ผมทำสมาธิแล้วนิมิตเห็นใบหน้าหลวงพ่อรางๆ แต่แววตาของหลวงพ่อที่ผมเห็นในนิมิตนั้นบ่งบอกถึงความเมตตาอย่างหาที่สุดมิได้ ผมประทับใจมากและจำได้อย่างแม่นยำ ในนิมิตบอกว่าให้มาที่วัดทางทิศนี้ ผมลองมาทางทิศนี้ถามชาวบ้านและพระแถวศรีราชาเขาก็บอกให้ลองมาหาหลวงพ่อดู ผมก็ต้องลงเรือข้ามทะเลมาพอผมเห็นแววตาของหลวงพ่อก็แน่ใจว่าใช่องค์นี้แน่ หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้งเลย? และหลังจากนั้นมา โยมท่านนั้นก็กลับมาวัดอีกเรื่อยๆ

ในความคิดของผม ในฐานะที่ผมก็เคยใกล้ชิดและได้กราบเท้าครูบาอาจารย์ที่เราเชื่อกันว่าเป็นพระอริยสงฆ์มาก็หลายองค์ เช่น หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม, หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน, หลวงพ่อชา สุภัทโท, หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ และอีกหลายท่านที่ไม่สามารถกล่าวนามได้หมด รวมไปถึงท่านพุทธทาสภิกขุด้วยอีกท่านหนึ่ง ผมเห็นว่า แทบจะทุกท่านก็ว่าได้ที่มีผิวพรรณผ่องใสเป็นอย่างยิ่ง ผมเองเมื่อมองดูแล้วก็อดชื่นใจไม่ได้ว่า คงเป็นเพราะคุณธรรมในใจของท่านเหล่านั้นกระมัง ที่กลั่นกรองผิวพรรณของท่านให้ผ่องใสถึงขนาดนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ?หลวงปู่เทสก์ เทสรังสีและหลวงปู่ขาว อนาลโย? ที่ผมประทับใจในความผุดผ่องและความเมตตาของท่านมิรู้ลืม เมื่อผมได้เห็นหลวงปู่เทสก์ ผมและเพื่อนถึงกับอดอุทานไม่ได้ว่า ผิวพรรณวรรณะของท่านช่างผุดผ่องยิ่งนัก

สำหรับหลวงปู่ขาว อนาลโย ผมก็เคยได้รับความเมตตาของท่านอย่างหาที่สุดมิได้ สมัยที่ผมเป็นเด็กเรียนชั้นประถมปีที่ ๒ ผมยังจำได้ว่า ผม, พ่อแม่และญาติๆรวมแล้วหนึ่งคันรถบัส (ประมาณ ๔๐-๕๐ คน) มุ่งหน้าไปกราบเยี่ยมหลวงปู่ฯ ต้องจอดรถบัสแล้วปีนเขาหนึ่งลูกเข้าไปยังวัดถ้ำกลองเพล เพราะสมัยนั้นยังไม่มีถนนเข้าถึงวัดฯ ต้องเดินผ่านอ่างเก็บน้ำ(ลึกมาก)ของโครงการพระราชดำริ ด้วยความตัวสั่นตามประสาเด็กๆ (ซึ่งผมกลัวน้ำลึกเป็นที่สุดมาตั้งแต่เป็นเด็กจำความได้แล้ว) เมื่อไปถึงแล้วขอเข้ากราบหลวงปู่ขาว ซึ่งรอบกุฎิของหลวงปู่ฯมีพระเฝ้าอยู่หลายรูปเหมือนอยู่เวรยาม พระหนึ่งในนั้นบอกว่า หลวงปู่อาพาธและติดเชื้อ หมอหลวงไม่อนุญาตให้ใครๆเข้าพบ พวกเราในตอนนั้นก็เศร้าใจด้วยเสียดายที่ไม่ได้กราบหลวงปู่ แต่แล้วพระรูปเดิมหลังจากเดินเข้าไปกราบเรียนหลวงปู่ แล้วก็เดินออกมาบอกพวกเราว่า หลวงปู่เรียกให้เฉพาะเด็กคนนั้น(ซึ่งก็คือผม)เข้าไปกราบท่านได้ แต่ญาติของผมบอกว่า ผมยังเล็กนัก เกรงว่าจะไปทำกิริยาไม่เหมาะสม ถ้าอย่างไรควรให้คุณลุงของผมนำผมเข้าไปด้วยจะได้หรือไม่ พระรูปดังกล่าวจึงอนุญาต แล้วผมก็เข้าไปกราบหลวงปู่พร้อมกับลุงของผม

เมื่อเข้าไปถึง ภาพแรกที่ผมเห็นคือหลวงปู่นั่งยิ้มพิมพ์ใจ และผิวพรรณของหลวงปู่นั้นผุดผ่องอย่างหาที่เปรียบมิได้ รวมถึงความเย็นแห่งกระแสเมตตาของท่าน ก็สะกดผมให้หายซนและหยุดชะงักได้อย่างอัตโนมัติ คุณลุงของผมเตือนให้ผมกราบที่เท้าท่าน เมื่อผมกราบแล้วคุณลุงก็เรียนหลวงปู่ว่า พวกเราอยากได้ของอันเป็นเครื่องระลึกถึงหลวงปู่สักเล็กน้อยจะได้หรือไม่ หลวงปู่จึงให้เอากระดาษมาเช็ดปากที่เปื้อนหมากของท่าน แล้วยื่นให้ผม ผมก็รับเอามาแล้วก็เก็บไว้จนถึงทุกวันนี้
ที่ผมกล่าวมา ก็เพื่อบูชาคุณในความมีเมตตาและคุณธรรมของหลวงปู่ทุกองค์ ที่ผมยังซาบซึ้งตรึงใจตลอดมา

แต่หากย้อนมากล่าวถึงองค์หลวงพ่อประสิทธิ์ ในตอนแรกเมื่อผมได้พบท่าน หลวงพ่อไม่ได้มีอะไรให้เป็นที่ประทับใจเลย ท่านดูตัวดำๆ และนอนสบายๆอยู่บนเปลแถวซุ้มประตูหน้าวัด ผมเห็นแล้วก็นึกในใจว่า ?ที่หลวงพี่วิชัยเคยกล่าวว่า หลวงพ่อไม่ได้ด้อยไปกว่าครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆนั้น มันจะจริงหรือ? ดูๆหลวงพ่อไม่มีราศีอะไรให้น่าเชื่อเลย? แต่ก่อนที่ผมจะตัดสินใจอะไรลงไป เคราะห์ดีที่เมื่อผมมาพิจารณาเรื่องหนึ่งในพระไตรปิฎก ผมก็พอจะอนุมานได้ว่า ผิวพรรณไม่ได้เป็นเครื่องบ่งบอกถึงคุณธรรมแต่อย่างใด คุณธรรมในใจของท่านต่างหาก ที่ท่านย่อมรู้ด้วยตัวเอง ปุถุชนอย่างผมไม่สามารถไปเดาสุ่มหรืออนุมานเอาได้ เรื่องมีอยู่ว่า

?สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของ
ท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ก็สมัยนั้นแล ท่านพระภัททิยะผู้(หลัง)ค่อมกำลังเดินมาข้างหลังของภิกษุเป็นอันมาก เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ พระผู้มีพระภาคได้ทรงเห็นท่านพระภัททิยะเป็นคนค่อม มีผิวพรรณทราม ไม่น่าดู พวกภิกษุดูหมิ่นโดยมาก เดินมาข้างหลังของภิกษุเป็นอันมากแต่ไกล ครั้นแล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายเห็นภิกษุนั่น เป็นคนค่อม มีผิวพรรณทราม ไม่น่าดู พวกภิกษุดูหมิ่นโดยมาก กำลังเดินมาข้างหลังๆ ของภิกษุเป็นอันมากแต่ไกลหรือไม่ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า เห็นแล้วพระเจ้าข้า ฯ พระองค์ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ก็สมาบัติที่ภิกษุนั้นไม่เคยเข้าแล้ว ไม่ใช่หาได้ง่าย ภิกษุนั้นทำให้แจ้งซึ่งที่สุดแห่งพรหมจรรย์อันยอดเยี่ยม ที่กุลบุตรทั้งหลายออกบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการนั้นด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่? นี้เอง ผมจึงตั้งใจไว้ว่า ถ้าอย่างไรธรรมะที่เราจะพึงได้จากท่านก็สำคัญกว่าการมามัวแต่เฝ้ามองท่านเป็นแน่ ผมจึงเปลี่ยนนิสัยการเฝ้ามองดูพระนับจากที่ได้อ่านพระสุตตันตปิฎกบทนั้นเป็นต้นมา

หากกล่าวในแง่ความสามารถพิเศษของหลวงพ่อ ผมเคยสังเกตจากการสนทนาระหว่างหลวงพ่อกับพระภิกษุ ๒ รูปจากวัดของท่านเจ้าคณะอำเภอที่เคารพนับถือหลวงพ่อ ท่านเจ้าคณะอำเภอสั่งให้พระทั้งสองมาช่วยเตรียมงานปิดทองฝังลูกนิมิตของวัดถ้ำยายปริกเมื่อหลายปีก่อน พระทั้งสองเรียนหลวงพ่อว่า ไม่ควรวางลูกนิมิตไว้กลางแจ้ง ควรวางไว้ในร่มและเตรียมหาผ้าสำหรับบังลม มิฉะนั้นเวลาปิดทอง แผ่นทองก็จะปลิวไปตามลมจนหมด เพราะลมที่วัดบนยอดเขาบนเกาะกลางทะเลอย่างวัดถ้ำยายปริกนั้นแรงนัก แต่หลวงพ่อตอบกลับแบบตัดบททันใดว่า ?เออ อย่าห่วงไปเลยเรื่องนั้น ตลอด ๖ วัน ๖ คืน เราจะขอมันไว้ไม่ให้มีลมเลย? เมื่อพระทั้งสองรูปได้ฟังหลวงพ่อพูดดังนั้น ก็รีบพนมมือสาธุหลวงพ่อทันที และเมื่อวันงานมาถึง ก็พบว่า ตลอด ๖ วัน ๖ คืน ลมที่เคยพัดแรงก็หายไปหมด

และเช่นกัน ในช่วงงานกฐินหรือผ้าป่าของวัดถ้ำยายปริก ไม่ว่าจะเป็นเดือนใดหรือวันใด จะมีพยากรณ์ว่าลมฝนฟ้าจะแรงแค่ไหน แต่เมื่อถึงวันงาน ท้องทะเลนับจากฝั่งศรีราชาถึงเกาะสีชังก็จะสงบราบเรียบ (ผมเองเคยเห็นมาแล้วในวันกฐินของวัดเมื่อสามปีก่อน ที่หลวงพ่อบอกไว้กับผมเองว่า ?เราขอมันไว้ ๓ วัน (คือก่อนวันงาน ในวันงาน และหลังวันงาน) ให้มันผ่อนลงหน่อย จะได้สะดวกคนเขามาทำบุญ? ซึ่งในช่วง ๓ วันดังกล่าว ก็พบว่า ทะเลเรียบดุจดังแผ่นกระจกใสสีฟ้าที่ถูกเอามาวางบนผิวน้ำ ตลอดแนวจากฝั่งศรีราชาถึงเกาะสีชัง (ดังที่ทุกท่านก็น่าจะได้เห็นแล้ว สำหรับท่านที่ได้ไปร่วมงานกฐินที่วัดในปีนี้มา แต่อากาศอาจจะร้อนเกินไปสักหน่อย ผมว่าคราวหน้า "น่าจะ" มีบางท่านกราบเรียนหลวงพ่อว่า "ขอให้มีลมบ้างก็ดี" นะครับ )

หมายเหตุ ท่านผู้อ่านบางท่านอาจจะคิดว่า หลวงพ่อท่านพูดโอ้อวดหรือไม่ แต่ผมขอเสนอให้พิจารณาว่า หลวงพ่อท่านไม่เคยพูดเลยไม่ว่าคราวใดว่า ท่านจะใช้อำนาจจิตหรือสมาบัติอะไรต่างๆไปบังคับลมฝน ท่านจะพูดแต่เพียงว่า "ก็ขอมันไว้ ขอร้องมันให้มันพักผ่อนเสียบ้าง? จะมีก็แต่ทำนองนี้ทั้งสิ้น

ในคราวที่วัดทำบ่อเก็บน้ำฝน ซึ่งต้องใช้เวลาหลายวันในการเตรียมสถานที่ ทั้งขุดหลุม เผาหิน เทปูน หล่อปูน (ที่ทั้งหลวงพ่อและพระชีช่วยกันทำทั้งนั้น) บางครั้ง ขณะหลวงพ่อนั่งพัก ท่านก็เคยบอกกับพระที่ยังโบกปูนอยู่ว่า ให้รีบทำให้เสร็จโดยเร็ว เพราะฝนมันอั้นมานานแล้ว เขาจะได้ตกลงมาเสียที ทั้งๆที่เวลานั้นท้องฟ้าก็แจ่มใสดี แต่เมื่อพระโบกปูนเสร็จ เย็นวันนั้นฝนก็ตกลงมาโดยพลัน

เช้าวันอากาศแจ่มใสและแดดเปรี้ยงวันหนึ่ง แม่ชีหลายรูปเอาที่นอนและเสื่อ รวมถึงหมอนผ้าห่มออกมาตากนับร้อยชุด วางกลางแจ้งเต็มไปหมด จู่ๆตอนสิบโมงเช้า หลวงพ่อก็พูดประกาศทางไมโครโฟนได้ยินไปทั่ววัดว่า ?ชีเอ๊ย พากันเก็บผ้าเข้าที่เถอะ ฝนเขาจะมาบ่ายนี้ ประเดี๋ยวจะเก็บไม่ทัน? แต่แล้วก็ไม่มีใครเก็บเพราะไม่เชื่อหลวงพ่อ เนื่องด้วยมองท้องฟ้าแล้วอากาศไม่น่าเป็นไปได้เลยว่าจะมีฝนในวันนั้น แต่แล้วพอตกบ่ายก็มีลมกรรโชกแรงมาทันที แล้วฝนก็โปรยลงมาไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำเอาแม่ชี ๒๐ กว่ารูปต้องมาช่วยกันเก็บผ้ากันจ้าละหวั่น แต่ของเหล่านั้นก็เปียกไปไม่ใช่น้อย ซึ่งวันต่อมาหลวงพ่อก็เพียงพูดสอนแม่ชีว่า ?คนว่ายากสอนยาก ทำอะไรก็ไม่เจริญ?

ในระยะนี้ที่มีภัยธรรมชาติที่ก่อให้เกิดความเสียหายอย่างใหญ่หลวงเกิดขึ้นบ่อยๆทั้งที่เมืองไทยและต่างประเทศ หลวงพ่อท่านก็ไม่ได้ว่าอย่างไร เพียงแต่วันหนึ่งท่านก็สั่งให้เตรียมนำเสาธงสองเสาขึ้นปักที่เชิงเขา แล้วเอาธงชาติกับธงธรรมจักรขึ้นสู่ยอดเสา ท่านว่า ?เป็นสัญลักษณ์แห่งการประกาศพระศาสนาให้กว้างไกล ให้ศาสนาพุทธของเรา อยู่เคียงคู่กับชาติไทยไปตลอด? และท่านก็ให้เอาพระพุทธ รูปปางห้ามญาติ ๒ องค์มาประดิษฐานที่ยอดเสาทั้งสอง แต่หันพระพักตร์ในทิศทางตรงกันข้าม คือออกท้องทะเลหน้าวัดและหลังวัด ผมอนุมานเอาว่า หลวงพ่อคงจะมีเหตุผลอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเรื่องภัยและเรื่องร้ายๆต่างๆเป็นแน่ เมื่อผมถามท่าน ท่านก็ตอบสั้นๆเพียงว่า ?เราอธิษฐานขอไว้ ภัยจากธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตลอดถึงสึนามินาเมอะอะไรนั่น ไม่ต้องมาทางนี้หรอก ให้ไปทางอื่นให้หมด ทางนี้พระชีเราจะปฏิบัติธรรม อย่าได้มารบกวน? ส่วนที่ว่า ?ทางอื่น? นั้น จะเกิดอะไรขึ้นหรือไม่ ท่านตอบว่า ?สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมนะพงศ์เอ๊ย? แต่ท่านก็ไม่ได้พูดอะไรชัดเจนไปกว่านี้ ผมก็ไม่ได้ถามหลวงพ่ออีกเสียด้วย เพราะคำพูดของท่านว่า สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมนั้นมันชัดเจนที่สุดแล้ว
อย่างไรก็ตาม หากจะกล่าวถึงเรื่อง "ความสามารถพิเศษ" ต่างๆที่ผมได้เคยประสบหรือสัมผัสมากับหลวงพ่อ ผมเคยมีความคิดเอาตามประสาปุถุชนว่า "ความสามารถพิเศษ" เหล่านี้ของหลวงพ่อและพระผู้ทรงอภิญญาทั้งหลาย เป็น"ของดีที่ขาดไม่ได้" และถ้าไม่มีเลย ก็ไม่น่าสนุกเอาเสียเลย แต่ผมก็เข้าใจว่า ยังมีพระผู้ที่ท่านจิตบริสุทธิ์หลายท่าน ไม่ได้มี "ความสามารถพิเศษ" เหล่านี้ แต่ท่านก็สำเร็จธรรมเหมือนกัน เมื่อผมได้สนทนากับหลวงพ่อ ท่านก็กล่าวว่า ?เอ็งหมายถึงพวกที่ท่านเป็นสุกขวิปัสสโกน่ะเหรอ อย่างนั้นเขาเรียกว่า สำเร็จแบบแห้งแล้ง มีวิปัสสนาแก่กล้ากว่าสมาธิ แต่....พงศ์เอ๊ย มีฤทธิ์หรือไม่มี เมื่อสำเร็จได้ก็เป็นบุญล้นเหลือแล้วเจ้าประคุณเอ๋ย (หลวงพ่อพูดพลางประนมมือท่วมหัว) ทำอย่างไรก็ได้ ขอให้มันสำเร็จเถอะ แล้งไม่แล้งก็อย่าไปสนใจมัน ขอให้หลุดพ้นไปแล้วมันก็ไปสู่ความว่างอย่างยิ่งเหมือนกัน เมื่อหมดความรู้สึกคิดนึกปรุงแต่งแล้ว ก็ไม่แตกต่างกัน ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในภพสามอีก นั้นล่ะประเสริฐที่สุดแล้ว จะมีอะไรยิ่งไปกว่านี้?

หลวงพ่อสรุปว่า "ฉะนั้นไม่ว่าพระไม่ว่าชี หรืออุบาสกอุบาสิกา ต้องหมั่นเจริญสติปัฏฐาน ๔ ให้แน่นแฟ้น ครั้นเจตสิกดับ หมดความปรุงแต่งในผัสสะด้วยเห็นความจริงในการเกิดดับของทุกสภาวะ จึงสำรอกราคะและโทสะ และเห็นรูปนามเป็นอารมณ์โดยอัตโนมัติทุกขณะไป แค่นี้ก็ไปอยู่สุทธาวาสแล้ว ไม่ต้องมาแบกหามสภาวะความเป็นมนุษย์ให้วุ่นวายอย่างนี้อีก และเมื่อเจริญต่อไป จนเห็นพิษภัยของรูปนามทั้งหมด จึงปล่อยวางรูปนาม ก็เข้าถึงความว่างที่แท้จริง เป็นอนัตตา และมหาสุญญตา ก็หมดเรื่องหมดราว มีอยู่แค่นั้นเอง?
"งานมงคล"

เป็นสิ่งปกติไปแล้วที่เมื่อมีเรื่องราวใดๆ ลูกศิษย์หลายคนของหลวงพ่อฯจะนำเรื่องนั้นๆมาถามหรือปรึกษาขอความเห็นจากหลวงพ่อเสมอ ทั้งนี้ก็เพื่อความแน่ใจว่าสิ่งที่จะทำนั้นถูกต้อง ซึ่งเป็นความเชื่อส่วนบุคคลของแต่ละคน ห้ามกันไม่ได้ ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า เป็นการดูดวงผูกดวงจับยามหรืออะไร เป็นเพียงการถามหลวงพ่อว่าทำอย่างนั้นๆดีหรือไม่ ท่านก็จะตอบแนะนำไปด้วยหลักแห่งธรรมเสมอ ก็มีอยู่เท่านั้น

นายแพทย์ท่านหนึ่งของโรงพยาบาลเกาะสีชัง (ปัจจุบันมาบวชอยู่กับหลวงพ่อได้หลายปีแล้ว และยังไม่มีทีท่าว่าจะสึก และแนวโน้มคงจะไม่สึก เพราะทำเรื่องลาออกไปแล้วตั้งแต่เมื่อบวชใหม่ๆครับ ปัจจุบันนี้ทุกคนเรียกท่านว่า "หลวงพี่หมอใหญ่" เพราะว่าท่านมีชื่อเล่นว่า "ใหญ่"นั่นเอง) ท่านใช้ชีวิตโดยอาศัยวัดเป็นบ้านมานานแล้ว คือมาอาศัยกุฎิว่างหลังหนึ่งเป็นที่หลับนอน และยกบ้านพักที่ราชการจัดให้ให้แก่เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลคนอื่นไป ตอนเช้าท่านก็กินข้าววัดแล้วออกไปทำงาน ตอนเย็นก็กลับมานอนวัดเป็นปกติ ส่วนเงินเดือนก็นอกจากจะให้พ่อแม่ส่วนหนึ่งแล้ว ที่เหลือก็ถวายวัดทั้งหมด และโดยอุปนิสัยส่วนตัวของท่านแล้ว เป็นคนสมถะ พูดน้อย ปฏิบัติมาก และท่านก็เป็นผู้หนึ่งที่หลวงพ่อเคยกล่าวถึงว่า "หมอใหญ่นี้จิตเป็นพระแล้ว!"

วันหนึ่งนายแพทย์ท่านนี้ได้รับการ์ดเชิญให้ไปร่วมงานแต่งงานของเพื่อนแพทย์ร่วมรุ่นมหาวิทยาลัยขอนแก่น ท่านไม่อยากไปร่วมงานสังสรรค์ประเภทนี้เท่าใด ด้วยคงจะระอาในความวุ่นวายอะไรทำนองนั้น แต่ด้วยมารยาท อย่างไรเสียก็ต้องส่งเงินและการ์ดอวยพรกลับไปให้ ท่านจึงนำการ์ดเชิญนั้นไปถวายหลวงพ่อให้พิจารณา พร้อมขอคำแนะนำจากหลวงพ่อว่า ควรจะเขียนอวยพรคู่บ่าวสาวอย่างไรดี

หลังจากหลวงพ่ออ่านการ์ดเชิญแล้ว ท่านตอบว่า "ไม่ยากหรอก ให้เขียนลงไปในด้านหลังของการ์ดว่า "แด่คู่บ่าวสาว...การเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง" ว่าเท่านั้นคุณหมอก็รับคำหลวงพ่อ และรีบทำตามโดยเร็วมิได้แสดงอาการสงสัยใดๆ

หากแต่ผมเองซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ด้วย กลับเป็นฝ่ายสงสัย ก็อดถามหลวงพ่อไม่ได้ว่า "มันจะดีหรือครับหลวงพ่อ คนเขาแต่งงานกัน เป็นงานมงคล แต่ไปบอกเขาว่าการเกิดเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เดี๋ยวเขาจะหาว่าไปแช่งไม่ให้เขามีลูก" หลวงพ่อก็ตอบเร็วทันใดว่า "เอ็งน่ะพูดผิดแล้ว ใครว่างานแต่งงานเป็นงานมงคล" ผมฟังแล้วก็ยิ่งงงเข้าไปใหญ่

หลวงพ่ออธิบายเพิ่มเติมว่า "งานแต่งงานน่ะเป็นงานอวมงคลนะพงศ์เอ๊ย คือ การที่คนเราไอ้อยู่คนเดียวดีๆ แล้วไปหาเรื่องใช้ชีวิตคู่ แถมมีลูกมีเต้าให้มันวุ่นวายน่ะ มันเป็นมงคลที่ไหนกัน แทนที่จะได้บริหารจิตบริหารขันธ์ตัวเองก็ยุ่งพอดีอยู่แล้ว ยังจะต้องมารับภาระขันธ์คนอื่นอีก ทั้งการเตรียมการงานแต่งก็วุ่นวายต้องแต่งหน้าเจ้าบ่าวเจ้าสาว โปะใบหน้าให้มันดูดีก็จัดเป็นของปลอมอย่างหนึ่งล่ะ ไหนจะเรื่องเงินๆทองๆ ไหนจะข้าวปลาอาหาร ไหนจะชักชวนแขกเหรื่อผู้ใหญ่ผู้โตมาคุยโวกัน แล้วทุกวันนี้มีหรือที่งานแต่งงานแล้วจะไม่มีเหล้าเข้าปาก ยิ่งตามบ้านนอกแล้ว ต้องล้มวัวล้มควายกัน มีแต่เรื่องล้วนแล้วแต่วุ่นวายด้วยโลกีย์วิสัย อย่างนี้มันเป็นมงคลที่ไหนกัน

ส่วนงานมงคลที่แท้จริงน่ะ คือ"งานศพ"ต่างหาก เพราะเราไปแล้วได้พิจารณาสัจธรรม คือ ความจริงของชีวิต เช่น ได้เห็นศพก็ได้ปลงสังเวช ว่าดูเอาเถอะ รูปถ่ายของคนตายดูยังดีๆแท้ๆ แต่เจ้าตัวตายไปอยู่ในโลงเสียแล้ว นั่นแหละมันไม่เที่ยง มีเกิดมา ก็แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา ไม่มีใครหลีกเลี่ยงพ้นได้ ร่างกายในโลงนั้นก็เตรียมจะเน่าเปื่อยผุพังหรือเผาไฟฝังดินไป ตัวตนไม่มีหลงเหลือเลย! แปรสภาพไปหมด และหากพิจารณาบทสวดก็ได้บทธรรมกุศลา ธัมมา อกุศลา ธัมมาฯ พิจารณาเนื้อธรรมให้ดี ก็อาจมีดวงตาเห็นธรรมได้ เห็นไหมเล่ามีแต่เรื่องกุศลทั้งนั้น อย่างนี้งานศพจะไม่ใช่งานมงคลดอกหรือ?"
?หลวงพ่อสอนปฏิบัติ?

บางท่านอาจจะคิดว่า หลวงพ่อสอนธรรมะเอาแต่ปัญญาหรือ แล้วศีล สมาธิเล่า ท่านไม่ได้สอนหรืออย่างไร ซึ่งความจริงแล้ว ท่านสอน และสอนมากเสียด้วย เพียงแต่เราต้องหมั่นสังเกตด้วยเช่นกัน เช่นเรื่องของศีล หลวงพ่อบอกว่า ?ศีล มี ๒ ประเภท คือ ศีลบัญญัติ เช่น ศีล ๕, ศีล ๘, ศีล ๒๒๗ ซึ่งยังเป็นของสมมุติ เพราะพระพุทธเจ้ามาบัญญัติศีลเหล่านั้นหลังจากมีพระรัตนตรัยแล้วด้วยซ้ำ อย่าถือมั่นว่า ศีล ๒๒๗ ทำให้เกิดพระอรหันต์ เพราะเมื่อพระพุทธเจ้าทรงประกาศพระศาสนาใหม่ๆ มีพระอรหันต์เกิดขึ้นแล้ว แต่ศีลบัญญัติเหล่านี้ยังไม่มีสักข้อ ต่อเมื่อภิกษุรุ่นหลังปฏิบัติตนไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมตามสมณวิสัย พระองค์จึงทรงบัญญัติศีลเหล่านี้ขึ้นเพื่อควบคุมความประพฤติของภิกษุเหล่านั้น ส่วนศีลประเภทที่สองคือ ศีลปรมัตถ์ เป็นศีลของพระอริยเจ้า มีข้อเดียว นั่นคือ การมีสติเป็นปรกติ เพราะศีลหมายถึงการปฏิบัติตนด้วยความปรกติของจิตที่ประกอบไปด้วยสติแน่วแน่ ไม่หลงลืมหน้าหลังงัวเงียด้วยอวิชชา ดังพระพุทธเจ้าตรัสว่า เธอจงตามดูจิตที่ไปไกลแสนไกล เธอจะพ้นบ่วงแห่งมาร แล้วทรงให้ใช้อะไรตามดูจิตเล่า ก็สตินั่นแหละ ไม่ใช่อะไรอื่น?

นอกจากนี้หลวงพ่อยังเคยกล่าวถึงศีล ๕ ไว้อย่างน่าพิจารณาว่า ?ไม่ว่าพระหรือฆราวาส ก็ต้องมีศีล ๕ เป็นพื้น ที่ว่าศีล ๕ นั้น หมายความว่า ต้องควบคุมแขน ๒ ขา ๒ และ ศีรษะ ๑ ให้ไม่ประกอบกรรมชั่วใดๆ และหมั่นสำรวมระวังกายใจอยู่เสมอ แล้วไม่ว่าศีลกี่ข้อถัดจากนั้นก็เป็นอันทรงไว้ได้หมด?

เรื่องสมาธิ สำหรับการนั่งสมาธิ ท่านจะสอนตามแนวอานาปานสติ แต่ท่านก็จะเน้นการเดินจงกรมด้วยเช่นกัน ท่านกล่าวว่า ?ไม่ใช่นั่งสมาธิเสร็จแล้ว พอลุกขึ้นแล้วปล่อยตัวปล่อยใจไม่ต้องกำหนดสติ อันนั้นใช้ไม่ได้ ไม่เรียกว่าเป็นนักปฏิบัติ เพราะสตินั้นต้องใช้ตลอดให้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงจิต ไม่ว่าจะทำการงานใดก็แล้วแต่ แต่ถ้าจะตั้งใจเดินจงกรม ต้องตั้งสติควบคุมความรู้สึก กำหนดสติลงไปอยู่ที่เท้า และดูความรู้สึกขณะเท้าสัมผัส มองให้เห็นตัวเกิด-ดับของความรู้สึกนั้นๆ ถ้าจะให้ดี ควรไปเดินจงกรมบนที่ลำบาก บนทางที่ไม่เรียบ หรือลาดชันเป็นต้น เช่นการเดินบนที่ขรุขระ หรือมีหินเหลี่ยมแหลม เวลาเดินไป ฝ่าเท้ากระทบกดลงไปบนหินเหล่านั้น ก็ดูความเจ็บปวด เวลากดเท้าลงไปแล้วเจ็บ ยกเท้าขึ้นมาแล้วหายเจ็บ นั่นแหละตัวเกิด-ดับล่ะ แล้วมันเรียกสติดีเสียด้วย เหมาะสำหรับคนสติอ่อนๆนัก ไม่ต้องท่องพุทโธ หรือยุบหนอพองหนอเลย เพราะมันเจ็บ มันคิดอื่นใดไม่ได้หรอก สติมันมาเอง ไม่ต้องบังคับ นี้แหละธรรมชาติเป็นตัวกำหนดสติให้เรา ไม่ใช่ตัวเราหรือของเราเลย แล้วที่สำคัญ ไอ้ความเจ็บที่ว่านั้นน่ะ มันไม่มีหญิงมีชายเสียด้วย ไม่มีพระ เถร เณร ชี ฆราวาส บรรพชิต ไม่มีคนมีสัตว์ หรือชนชั้น เจ้าขุนมูลนายต่างๆ ไม่มีอยู่ในนั้นทั้งสิ้น เพราะมันเป็นความรู้สึก ซึ่งเป็นสามัญลักษณะ ย่นลงก็คือเหลือแต่รูปกับนาม คือสัมผัสนั้นเป็นรูป ความรู้สึกนั้นเป็นนาม ไม่มีสมมุติอยู่ในนั้นเลย นั่นแหละ ธรรมชาติมันสอนเราตลอดเวลา ว่าทุกอย่างในโลกนี้เป็นของสมมุติ ของจริงนั้นน่ะ มีแต่รูปนาม สัมผัสกระทบเย็นร้อน อ่อนแข็ง และความรู้สึกคิดนึกปรุงแต่งสุข ทุกข์ เฉยๆ ขึ้นลงไปมาอยู่อย่างนี้ แล้วสุดท้ายก็หาสาระแก่นสารอะไรไม่ได้เลย แล้วยังจะเอาอะไรกับมัน!?

เพราะเหตุนี้ ทางเดินทั่วไปและทางเดินจงกรมภายในวัดถ้ำยายปริก จึงไม่มีแต่เพียงทางเรียบๆเท่านั้น แต่ยังมีทางที่ปูด้วยหินมีเหลี่ยมด้วยเช่นกัน เพื่อให้ผู้ปฏิบัติหมั่นฝึกฝนตนเองตามแนว ?ธรรมชาติช่วย? นี่เอง
"ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต"

หลวงพ่อประสิทธิ์ท่านมีปกติไม่นิยมเครื่องรางของขลังทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่อง ตะกรุด ยันต์ ฯลฯ หรือแม้แต่การพรมน้ำมนต์ ทั้งนี้แม้จะมีลูกศิษย์จำนวนไม่น้อยเชื่อว่า ท่านมีคุณธรรมสูงและทรงอภิญญาหรืออะไรก็ตามแต่ แต่ท่านก็ยังสอนผู้คนด้วยเทศนาปาฏิหาริย์เป็นหลัก ท่านไม่นิยมการชักชวนผู้คนให้หลงใหลในฤทธิ๋อภิญญาใดๆแม้แต่น้อย แม้แต่รูปถ่ายของท่านที่มีคนขอไปติดในรถยนต์(เพื่อเจตนาอะไร ท่านผู้อ่านคงทราบดี) ท่านก็ให้ แต่จะพูดว่า ?รูปน่ะ ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะโยม ถ้าขับรถอย่างไม่มีสติ?

หลวงพ่อเคยกล่าวกับผมว่า ?มนุษย์ทุกวันนี้ก็หลงใหลกันในสิ่งสมมุติเครื่องหลอกลวงมากอยู่แล้ว จะไปหาอะไรให้เขาหลงไหลกันมากขึ้นอีกทำไม น่าสงสารเขาออก เอาของจริง(คือธรรมะ)ให้เขาดีกว่า ใครเอาก็เอา ไม่เอาก็แล้วไป ถือว่ากรรมของสัตว์โลก?

ครั้งหนึ่งมีโยมผู้หญิงที่อายุมากแล้วท่านหนึ่ง มาทำบุญที่วัดพร้อมกับเพื่อนๆ และลูกหลาน ก่อนกลับ ได้เข้ามากราบหลวงพ่อแล้วพูดว่า ?หลวงพ่อช่วยรดน้ำมนต์ให้หน่อยเถิดเจ้าค่ะ ตอนนี้มีปัญหาร้อนรุ่มใจเจ้าค่ะ? หลวงพ่อรีบตอบทันใดว่า ?โยมไปอาบน้ำอาบท่าถูสบู่ให้สบายเถอะ อาบน้ำเองสบายกว่ารดน้ำมนต์เยอะ จะรดไปทำไม เปียกนิดๆหน่อยๆ แล้วก็สบายใจ กลับบ้านไปเสพโลภ โกรธ สัมผัสกระทบอารมณ์เดิมๆ มันได้ประโยชน์อะไร จงตั้งสติให้มั่น มีสมาธิเป็นบาท ปัญหาอะไรๆมันก็จะผ่อนคลายเบาบางเองดอก?

หลังจากคุณป้ากลับไปแล้ว หลวงพ่อก็หันมาพูดกับผมว่า ?เขาไม่เห็นหรอกว่าบุญคุ้มครองเขาอยู่เองแล้ว ไม่ต้องมาอาศัยน้ำมนต์อะไรช่วยหรอก ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว พระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้ว ไม่เชื่อหรือ?

เรื่องการสอนอย่างแรงๆก็มี เช่น คราวหนึ่งมีพระภิกษุรูปหนึ่งเดินทางมาไกล มาที่วัดแล้วเข้ากราบนมัสการหลวงพ่อ พร้อมยื่นลูกประคำพวงหนึ่งแล้วพูดว่า ?ผมขอบารมีหลวงพ่อช่วยปลุกเสกลูกประคำพวงนี้หน่อยครับ ผมเดินธุดงค์มานาน เที่ยวตระเวนให้ครูบาอาจารย์ที่ทรงพลังจิตตานุภาพช่วยแผ่บารมีลงในนี้ คราวนี้ผมก็จะขอบารมีจากหลวงพ่อด้วยครับ ต่อไปจะได้แคล้วคลาด? หลวงพ่อก็รับลูกประคำทั้งพวงมา แล้วทันใดท่านก็ ?เขวี้ยง? ออกไปอย่างแรง ลูกประคำทั้งสายกระเด็นไปกระแทกฝาผนังแตกกระจายหลุดออกจากกันกระเด็นไปลูกละทิศละทาง สิ่งที่พระรูปนั้นทำได้คือเพียงแต่ไล่ตะครุบแต่ละลูกอย่างชุลมุน พร้อมกับพูดขึ้นอย่างมีอารมณ์ว่า ?หลวงพ่อทำไมทำอย่างนี้ ไม่เมตตาผมเลย?

หลวงพ่อจึงพูดขึ้นว่า ?ดูเอาเถอะ ขนาดทำให้เห็นว่า ลูกประคำมันยังช่วยตัวเองไม่ได้เลย ประสาอะไรกับการที่จะไปคุ้มครองคนอื่น แล้วยังไม่เห็นอีก ยังจะไปเอากับมันอีก?

แม้แต่สายสิญจน์ ใครใส่มาที่วัดให้หลวงพ่อเห็น ไม่ว่าจะเป็นใครหน้าไหนก็ตามแต่ มาวัดครั้งแรกหรือหลายครั้ง จะคุ้นเคยกับหลวงพ่อหรือไม่ก็ตาม หลวงพ่อจะเรียกหากรรไกรมาตัดเส้นสายสิญจน์ออกเอาดื้อๆ ด้วยมือของท่านเอง ท่านจะพูดขึ้นว่า ?อาบน้ำบ่อยๆสายสิญจน์มันก็เปื่อยจนขาด ก็มันยังเอาตัวไม่รอดเลย แล้วจะมาช่วยอะไรเราได้? และท่านสำทับว่า ?ที่อื่นผูกมา ที่นี่จะแก้ให้? (ในความหมายที่ว่า ที่อื่นผูกเราให้ร้อยรัดพันธนาการด้วยความถือมั่นใดๆก็ตามแต่ ที่นี่จะสอนให้แก้ออกให้หมด เพราะธรรมใดๆก็ตาม ไม่ควรยึดมั่นถือมั่นในที่สุด)

แต่...ในคราวที่เกิดเหตุที่จำเป็น ท่านก็ไม่ได้เฉยเมยจนเหมือนขาดเมตตา เช่น คราวหนึ่งมีโยมคนหนึ่งในเกาะสีชัง พาตัวสามีมาที่วัดโดยสามีมีอาการคลุ้มคลั่งและตัวสั่น พร้อมพูดเพ้อมึ่งๆกูๆแม้แต่กับหลวงพ่อ แต่ฟังแล้วจับใจความได้ว่า เหมือนกับถูกคุณไสยสักอย่างตามที่คนโบราณเชื่อ เพราะแสดงอาการตาเขียว ตัวสั่น และพูดตลอดว่า ให้เอาของดิบๆให้เขากินอะไรทำนองนั้น (ผมก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ที่จะถูกคุณไสย อาจจะเป็นโรคอย่างหนึ่งก็ได้) เมื่อหลวงพ่อเห็นอาการดังนั้น ท่านก็เรียกให้ตั้งขันน้ำมนต์ (ซึ่งเป็นขันน้ำพลาสติกธรรมดาๆใบหนึ่ง) แล้วท่านก็นั่งหลับตาพนมมือสักครู่หนึ่ง จากนั้นก็ราดน้ำมนต์ลงไปที่ชายคนนั้น ทันใดอาการของชายคนดังกล่าวก็เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด คือ สงบขึ้น หายสั่นเทา และพูดจารู้เรื่องขึ้นทันที พร้อมกล่าวขึ้นว่า พาเขามาทำอะไรที่วัดกันนี่? ซึ่งทำให้ภรรยาของเขาดีใจอย่างมาก แล้วพาสามีกราบลาหลวงพ่อกลับไป ซึ่งนั่นก็เป็นครั้งแรกที่หลวงพ่อทำน้ำมนต์ให้ผมเห็น จากนั้นก็ยังไม่เห็นท่านทำให้ใครอีกเลย (อาจจะมีแต่ผมไม่เห็นครับ)

อีกครั้งหนึ่งที่เกิดเรื่องแปลกขึ้นคือ เมื่อหลวงพ่อมีธุระในกรุงเทพฯ ท่านได้ให้แวะไปที่วัดหลวงแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก หลวงพ่อมีจุดประสงค์ เพื่อเยี่ยมพระผู้ใหญ่ระดับเจ้าคุณที่รู้จักกัน หลังจากกราบสนทนาปสาทะกันแล้ว พระผู้ใหญ่ท่านนั้นได้เอ่ยขึ้นว่า ขอนิมนต์หลวงพ่อให้ไปเข้าร่วมพิธีปลุกเสกพระเครื่องและพระพุทธรูปที่จะจัดขึ้นในสัปดาห์ถัดไปนั้น (รายนามพระที่จะเข้าร่วมปลุกเสก ก็ล้วนแล้วแต่เป็นที่เชื่อของหลายคนว่าเป็นพระอริยเจ้าและท่านผู้ทรงวิทยาคม)

แต่หลวงพ่อกล่าวตอบทันใดว่า ?ผมไม่เอาด้วยหรอกครับ ท่านจะปลุกจะเสกไปทำไม พระพุทธเจ้าท่านประเสริฐอยู่แล้ว ทำไมต้องปลุกเสก แล้วที่พระพุทธเจ้าสอนว่า ?รูปูปาทานักขันโธ? น่ะลืมกันแล้วหรือ ว่าขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือรูป! แล้วท่านไปทำรูปให้เขายึดมั่นกันทำไม ทุกวันนี้มีแต่ทำพระเครื่องกัน เอาพ่อมาหากินกัน ไม่ละอายดอกหรือ?

ท่านเจ้าคุณก็กล่าวตอบหลวงพ่อว่า ?เอ้อ ก็รูปนั้นเป็นรูปพระพุทธเจ้านะ ไม่ดีหรือคนเขาติดรูปพระพุทธเจ้าน่ะ อย่างไรก็เป็นพุทธานุสสติ?

หลวงพ่อก็ตอบทันใดว่า ?นี่แน่ะท่าน ยังจำเรื่องของพระวักกลิได้ไหม พระวักกลิติดตามดูพระรูปโฉมตลอดเวลา หลงใหลในความงามของพระพุทธองค์ แล้วสุดท้ายทรงขับให้ออกจากสำนักว่า ?วักกลิ เธอตามดูเรา เธอไม่เห็นเรา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต? แต่ผมก็เข้าใจนะ ว่าธรรมะมันยังมีเปลือก กระพี้ แก่น พวกท่านยังนิยมให้ญาติโยมหลงใหล เขาก็ได้แต่เปลือกของพระศาสนา ผมก็ถือว่ากรรมของเขาไปน่ะ ผมไม่ว่าหรอก แต่จะให้ผมเข้าร่วมปลุกเสกนั้น ผมไม่เอาด้วย ปล่อยให้ท่านองค์อื่นๆทำกันไปเถอะ?

อย่างไรก็ดี ท่านเจ้าคุณก็ยังพยายามโน้มน้าวชักชวนหลวงพ่ออีก สุดท้ายหลวงพ่อกราบลาแล้วลุกขึ้นพลางพูดว่า ?ผมยังยืนยันไม่เข้าร่วม และผมขอเตือนไว้ก่อนว่า การปลุกเสกพระ ไม่ว่าเพื่อการใดก็เป็นโมหะ และระวังเถอะ ไฟโมหะมันจะเผาเอานะท่าน? แล้วหลวงพ่อก็ลากลับวัด

แล้วสัปดาห์ถัดมา ก็มีข่าวออกไปทั่วว่า ?ไฟไหม้ปะรำพิธีปลุกเสกวัด...? คือในวันงานพิธีปลุกเสก หลังพระผู้เป็นประธานจุดธูปและเทียนพรรษาเล่มใหญ่ จู่ๆ เกิดลมพัดแรงพัดเอาเทียนพรรษาเล่มใหญ่นั้นล้มลง ไม่มีคนดับทัน จนไฟไหม้ปะรำพิธีไปกว่าครึ่ง พระผู้เข้าร่วมพิธีต้องลุกหนีกันอลหม่าน...
"แค่ลมปาก"

เมื่อหลายปีก่อน เพื่อนของผมที่ทำงานอยู่ด้วยกันและไปวัดถ้ำยายปริกด้วยกันมาตลอดเกิดเบื่อหน่ายชีวิตฆราวาสเต็มประดา เขาได้แสดงความปรารถนาที่จะบวชไม่สึกอยู่กับหลวงพ่อประสิทธิ์นี้ ด้วยเหตุผลที่เขากล่าวว่า "หลวงพ่อแก่มากแล้ว กลัวจะไม่ทันท่าน"

อันตัวเขาเองนั้นก็ศรัทธาหลวงพ่ออยู่เต็มที่อยู่แล้ว แต่ทว่าพ่อและแม่ของเขานั้นไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไรในเรื่องของการบวชเพื่อพ้นจากกองทุกข์และก็พยายามห้ามปรามเสียด้วย อย่างไรก็ดี ยังมีญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งของเพื่อนผมผู้จะบวช มีศักดิ์เป็นคุณป้าของเขา ได้แสดงความเห็นด้วยกับหลานที่จะบวช(หากการบวชนั้นเพื่อปรารถนากระทำตนให้พ้นจากกองทุกข์) และบอกกับพ่อและแม่ของหลานว่า ประเดี๋ยวจะไปดูหลวงพ่อให้เห็นกับตาว่า มีดีอย่างไรถึงทำให้หลานตัดสินใจบวชได้ ทั้งๆที่เมื่อแต่ก่อนหลานของท่านคนนี้ก็สำมะเลเทเมามากเสียด้วย

ผมทราบมาจากเพื่อนผมคนนี้ว่า คุณป้าของเพื่อนผมนี้ เป็นผู้ที่ปฏิบัติธรรมจริงจัง และมีสมาธิแก่กล้า ชอบไปปฏิบัติอยู่กับวัดป่าทีละนานๆ เมื่อถึงคราวที่หลานจะบวช ท่านจึงแสดงตนว่า จะขอพิสูจน์หลวงพ่อด้วยวิธีของท่านเสียก่อน

วันหนึ่งเมื่อใกล้ถึงกำหนดวันบวช เพื่อนของผมคนนี้และคุณป้า ได้เดินทางมาที่วัดพร้อมกันกับผมและเพื่อนๆ เมื่อมาถึงวัดและเข้ากราบหลวงพ่อที่ศาลา ภาพแรกที่เห็นคือ หลวงพ่อนั่งบนเก้าอี้และนั่งไขว่ห้างเสียด้วย หลวงพ่อกำลังดูโทรทัศน์รายการข่าวภาคค่ำซึ่งท่านดูอยู่เป็นปกติทุกวัน แต่คุณป้าก็ไม่ว่าอะไร เมื่อมาถึง ก็กราบหลวงพ่อ ซึ่งหลวงพ่อก็เอี้ยวตัวมาดูพร้อมพยักหน้าหน่อยหนึ่งแล้วหันไปดูโทรทัศน์ต่อ แต่แล้วคุณป้าก็นั่งหลับตาทำสมาธิไม่ไหวติงอยู่หน้าหลวงพ่ออยู่นานกว่าสิบนาที

ครั้นคุณป้าออกจากสมาธิ หลวงพ่อก็ดูทีวีเสร็จพอดี ท่านจึงหันมาทำนองว่าจะพูดจาอะไรด้วย แต่แล้วคุณป้าซึ่งเพิ่งลืมตาออกจากสมาธิใหม่ๆ ก็พูดขึ้นว่า "อิฉันรู้นะว่า ท่านน่ะไม่มีกิจต้องทำแล้วในพระศาสนา และท่านเป็นผู้ที่รู้จบทั้งอดีตและอนาคต"แต่แล้วหลวงพ่อตอบทันใดว่า "เฮอะ อย่างนั้นเรอะ" แค่นั้นเอง แล้วท่านก็บอกต่อว่า ให้ไปพักผ่อนเถิด ค่ำแล้ว นี้เป็นกรณีหนึ่งของคำพูดในด้านบวกที่มีต่อหลวงพ่อ

ส่วนด้านลบ ก็มีกรณีเหมือนกัน คือ วันหนึ่งหลังจากนั้นไม่นาน ระหว่างที่วัดมีการก่อสร้างกำแพงหินศิลาแลงด้านหน้าวัด หลังจากสั่งของมาถึง หลวงพ่อให้วางหินศิลาแลงไว้ด้านนอกวัด เพื่อเตรียมนำมาก่อสร้างในวันรุ่งขึ้นแต่ทว่าโดยวางเหลื่อมไปในที่ของชาวบ้านรายหนึ่งที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับวัดมานาน เหตุคือ ชาวบ้านรายนี้เคยทึกทักจะเอาที่ดินของวัดเป็นของตัวเอง พร้อมกับอ้างว่า ที่ดินนั้นพ่อแม่ปู่ย่าตายายเขายกให้ แต่หลวงพ่อบอกว่า ตอนหลวงพ่อเริ่มมาก่อสร้างวัด ท่านเป็นคนแรกที่เข้ามาบุกเบิกพร้อมกับโยมชุดแรก ไม่มีใครอยู่แถวนี้มาก่อน และท่านเป็นคนขอน้ำขอไฟฟ้าและถนนเข้ามาให้ชุมชนแถวนั้นด้วย นอกจากนี้ เมื่อทางราชการเข้ามารังวัดทำโฉนด ก็พบว่าหลวงพ่อทำถูกต้องทุกอย่าง แม้ที่ดินนั้นก็ทางเทศบาลยังแจ้งว่าเป็นที่ของเทศบาลซึ่งยกให้วัดแล้วถูกต้องตามกฎหมาย แต่ชาวบ้านรายนี้ก็ยังไม่ยอมรับ แม้จนทุกวันนี้ก็ยังแสดงตนเป็นศัตรูกับวัดมาโดยตลอด ซึ่งหลวงพ่อก็ไม่ได้ว่าอะไร

ย้อนกลับมาคือ พอตกค่ำของวันนั้น ชาวบ้านเจ้าของที่รายนั้นขับรถมอเตอร์ไซต์ผ่านมา ครั้นพบว่า ที่ดินของตัวเองมีหินศิลาแลงวางเข้ามาแม้จะเกินเข้าไปเพียง ๑ ถึง ๒ นิ้ว(ผมเห็นกับตา จึงพูดได้ว่า เพียงวางเกินไปในที่ของเขาสักประมาณไม่เกิน ๒ นิ้วเท่านั้น เพราะที่ของเขามีเชือกผูกและมีหลักหมุดตอกชัดเจน) ก็โกรธจัด ลงจากรถแล้วเดินมาหน้าวัดพร้อมตะโกนขึ้นว่า ?เฮ้ย ใครหน้าไหนวะมันบังอาจเอาหินเอาดินมากองในที่ของกู ออกมาเจอกันหน่อยซิ?

ทันใดหลวงพ่อซึ่งท่านนั่งพักผ่อนอยู่หน้ากุฎิของท่าน(ซึ่งอยู่หน้าประตูวัดอยู่แล้ว)ก็ลุกออกไปเผชิญหน้ากับเจ้าของที่ผู้นั้นทันที แล้วท่านก็พูดว่า ?เออแน่ะโยม จะเอาอะไรกับพระกับเจ้านักหนา หลวงพ่อขอวางไว้แค่สักคืนหนึ่งเท่านั้นแหละ พรุ่งนี้ก็จะขนออกแล้ว ค่อยพูดค่อยจากันก็ได้?

เขาตอบว่า ?ไม่รู้ล่ะ ประเดี๋ยวพวกมึง(พูดพลางชี้หน้าหลวงพ่อ ซึ่งก็คือ เรียกหลวงพ่อว่า "มึง" นั่นเอง)ไปขนของออกจากที่กูให้หมดเลยนะ มึงจะก่อสร้างอะไรของมึงกูไม่สนใจด้วย แต่นี่เป็นที่ของกู กูไม่ให้ใครเข้ามาเหยียบย่ำทั้งนั้น และถ้าไม่ขนออกไปนะ กูจะไปแจ้งทั้งนายอำเภอและตำรวจให้มาเอาพวกมึงเข้าคุกให้หมด ข้อหาบุกรุกที่ของกู โถ่เอ๊ย พวกมึงน่ะก็เป็นแค่ไอ้พระเฮงซวย ฯลฯ? ว่าแล้วแกก็ขับมอเตอร์ไซต์หายไป

เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ ผมยืนอยู่กับหลวงพ่อตลอดเหตุการณ์ ผมไม่เห็นหลวงพ่อพูดอะไรมากไปกว่าการยิ้มรับ นอกจากนี้ท่านยังไม่แสดงอาการโกรธหรือหงุดหงิดที่ถูกด่าทอแม้แต่น้อย ใบหน้าของท่านยังคงสงบนิ่งตลอด แม้กระทั่งเมื่อนายคนนั้นขับมอเตอร์ไซต์หายไปแล้วท่านก็กลับมานั่งหน้ากุฎิแล้วดื่มน้ำปานะอย่างสงบ ไม่แสดงสีหน้าท่าทางว่าถูกด่าอย่างหนักและหยาบคายมาก่อนเลย มีแต่ผมและเพื่อนอีก ๒ คนเสียอีก ที่หน้าเสียและตกใจอย่างมาก ต่อการกระทำของคนผู้นั้นที่กล้าด่าหลวงพ่อด้วยถ้อยคำหยาบคาย แม้ผมเองยังขวัญเสียและทำให้นอนไม่หลับเลยตลอดทั้งคืน(จริงๆครับ)

พอวันรุ่งขึ้น เช้าประมาณ ๘ โมง มีนายอำเภอและตำรวจมาจริงๆ คงจะมาเพราะแกไปฟ้องให้มานั่นเอง ก็มาก้มๆเงยๆในที่ดินของนายคนนั้น แล้วก็เข้ามากราบหลวงพ่อว่า ?เอ ผมไม่เห็นว่ามันจะเกยเข้าไปในที่ของเขาเลยสักหน่อยเลย แค่ก้ำกึ่งเท่านั้น ที่ดินตั้งหลายร้อยตารางวา แค่มีก้อนอิฐของหลวงพ่อวางเลยเข้าไปแค่นิ้วสองนิ้ว ทำไมแกถึงโวยวายขนาดนี้?

หลวงพ่อหัวเราะแล้วพูดว่า ?ตระกูลนี้มันขี้เหนียวมาทั้งตระกูลนั่นแหละ หลวงพ่อเห็นมันมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าของมัน นิสัยเหมือนกันหมด ชินเสียแล้วล่ะ?แล้วเช้านั้น ทั้งพระและชีและญาติโยมก็ช่วยกันขนอิฐออกมาก่อสร้างกำแพงวัดจนเสร็จสมบูรณ์

ถัดจากวันนั้นมา ผมได้โอกาสจึงกราบถามหลวงพ่อว่า ?หลวงพ่อครับ วันก่อนโน้นคุณป้าของ...(เอ่ยชื่อเพื่อนผม) พูดชมหลวงพ่อว่า หลวงพ่อจบกิจพระศาสนา หลวงพ่อก็เฉยๆ พอต่อมามีคนด่าหลวงพ่อด้วยถ้อยคำหยาบสุดๆ หลวงพ่อก็เฉยได้อีก หลวงพ่อทำได้อย่างไรครับ หลวงพ่อไม่รู้สึกอะไรเลยหรือครับ ผมเองเสียอีก ตอนที่คุณป้าพูดอย่างนั้น ผมก็อิ่มเอิบและปีติไปด้วย แต่พอมาเจอคนด่าหลวงพ่อ ผมก็เสียใจมาก และตกใจ ว้าวุ่นใจเป็นที่สุด?

หลวงพ่อหัวเราะอย่างสบายใจแล้วพูดว่า ?ปัดโธ่เอ๊ย เอ็งก็ไปคิดมากทำไม จำไว้นะ คำพูดน่ะมันก็แค่ลมปาก พูดไปก็ดับไป เป็นลมเป็นแล้งไปทุกคราวคำ ถือสาอะไรกับมัน?

แล้วท่านกล่าวต่อว่า ?คนเราน่ะ จะดีหรือชั่วแค่ไหน มันก็ต้องถูกทั้งด่าและชม สำคัญคือเราอย่าไปเอากับมันเท่านั้น หลวงพ่อเองเวลามีใครมาพูดอะไรให้ฟัง อย่าว่าแต่จะชมหรือด่าเราเลย แม้แต่คำพูดที่เขามาเล่าเรื่องต่างๆให้ฟัง หลวงพ่อก็ฟังไปยังงั้นๆเอง ทุกเรื่องน่ะแหละ ส่วนใหญ่ก็เออๆออๆไปให้เขา ใครพูดอะไรเล่าอะไร ความจริงมันก็แค่เสียงลมออกจากปาก และสิ่งเหล่านั้น ก็มีเกิดมีดับเป็นเหมือนกัน มันเกิดๆดับๆทุกเวลานาที เหมือนสภาวะทั่วไปรอบตัวของเรา ทุกอย่างมันเกิดๆดับๆอย่างต่อเนื่องกันไป ไม่มีสาระแก่นสารอะไรเลย แล้วจะเอาอะไรกับมัน? พิจารณาเห็นความเป็นจริงอย่างนี้แล้วก็ปล่อยทิ้งไปเลย จบ?
?ความตาย?

เมื่อประมาณ ๔ ปีก่อน เกิดเหตุการณ์ประหลาด(ในสายตาของพวกเรา)เรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับหลวงพ่อประสิทธิ์ เรื่องมีอยู่ว่า ในวันหนึ่งในช่วงเย็นหลังจากที่ทั้งพระและชีทำงานก่อสร้างกันเสร็จเรียบร้อย (อย่างที่ผมเคยเล่ามาในตอนก่อนๆหน้านี้ว่า ที่วัดมีการก่อสร้างเสนาสนะกันในตอนกลางวัน โดยทุกคนมาช่วยกันออกแรงทำงาน เพราะหลวงพ่อบอกว่า การสร้างวัดนั้นได้กุศลแรง เพราะได้ทั้งออกทรัพย์และออกแรงงาน ตลอดจนได้ฝึกสติขณะทำงานแม้มีการกระทบกระทั่งกัน ก็ได้ถือว่าทดสอบสติอารมณ์ว่าหวั่นไหวเพียงใด ทั้งหมดนี้หลวงพ่อท่านว่า เป็นการสะสมบารมีทั้งนั้น ส่วนตอนกลางคืน ก็จะแยกย้ายกันปฏิบัติสมาธิภาวนา เดินจงกรมกันตามอัธยาศัย)

หลังจากเสร็จงาน หลวงพ่อซึ่งท่านคุมงานก่อสร้างมาทั้งวัน ด้วยวัยของท่านก็ ๘๐ ปีแล้ว (ท่านผู้อ่านลองนึกภาพว่า พระ ภิกษุชราอายุปูนนั้น ยังมาคุมงานก่อสร้าง ชี้แนะแนวทางแก่พระและชี รวมทั้งโยมทั้งหลาย หลวงพ่อท่านจะแนะนำว่าจะต้องใช้ปูน เหล็ก หิน ทรายเท่าใด จะต้องวัดจากจุดใดไปจุดใด ขุดหลุมตรงไหนถึงจะสะดวก และรายละเอียดต่างๆจนถึงงานศิลป์ ทุกอย่างมารวมลงที่หลวงพ่อทั้งนั้น ทั้งๆที่ท่านไม่เคยเล่าเรียนมาก่อน แต่ท่านก็บอกถึงรายละเอียดต่างๆได้อย่างแม่นยำ) ย่อมต้องเหนื่อยเป็นธรรมดา ในวันนั้น หลวงพ่อแสดงอาการออกมาอย่างเห็นได้ชัดว่า ท่านหอบเหนื่อย เพราะท่านเดินไปมาตลอดทั้งวัน

ปกติแล้ว ในตอนเย็น ท่านจะเข้ากุฏิเพื่อเข้าอาบน้ำประมาณสิบห้านาที เสร็จแล้วท่านก็จะออกมานั่งข้างกุฏิอย่างสงบสักพัก เผื่อให้พระ ชี และโยมเข้าพบพูดคุยสนทนาด้วย แล้วจึงจะเข้าไปดูโทรทัศน์ข่าวภาคค่ำที่ศาลาเก่าข้างศาลาโรงฉัน เหตุการณ์จะเป็นเช่นนี้ทุกวันไป

แต่ทว่า ในวันนั้น หลวงพ่อซึ่งท่านแสดงอาการเหนื่อยหอบตลอดทั้งวัน ท่านก็เข้ากุฏิเพื่ออาบน้ำเหมือนทุกวัน แต่แล้วถัดจากนั้นมาประมาณหนึ่งชั่วโมง พระและชีเริ่มผิดสังเกตว่า หลวงพ่อไม่ได้ออกมาจากกุฏิเลย จึงพากันสงสัย แม่ชีท่านหนึ่งจึงเรียนให้พระรูปหนึ่งว่า ให้เข้าไปดูหลวงพ่อสักหน่อยว่า ท่านไม่สบายหรือไม่อย่างไร เพราะเห็นท่านแสดงอาการไม่ค่อยดีมาตั้งแต่บ่ายแล้ว แต่ท่านไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับอาการของท่านเลย มีแต่พระ ชี และโยมต่างๆที่สังเกตอาการของท่าน แต่ก็ไม่มีใครพูดอะไร เพราะหลวงพ่อไม่ได้ชี้นำใดๆ

เมื่อพระรูปนั้นเข้าไปหาหลวงพ่อ ก็พบว่า หลวงพ่อนอนตะแคงข้าง (สีหไสยาสน์) อยู่บนเตียงไม้ข้างห้องนอนของท่านอย่างสงบ จึงไม่กล้ารบกวนท่าน แล้วค่อยๆย่องออกมาบอกแม่ชีว่า หลวงพ่อจำวัดอยู่

หลังกาลเวลาผ่านไปอีก 1 ชั่วโมง แม่ชีอีกรูปหนึ่งที่คอยทำหน้าที่ถวายน้ำปานะให

By : ( IP : ...xxx ) (Read 634 | Answer 6 2008-03-30 13:44:41 )
 

ความคิดเห็นที่1  

คัดมาเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น อยากอ่านทั้งหมดให้ดูที่ http://larndham.net/index.php?showtopic=23653&st=0 คลิกอ่านไปเรื่อยๆ มีหลายหน้า

By : วรากร ( 2008-03-30 13:44:10 )
 

ความคิดเห็นที่2  

สวัสดีเพื่อนรัก ผมมีคำถามปุจฉามากมายที่จะแลกแปลี่ยน เริ่มข้อแรกที่เราจะได้คุยกันก็คือ ระหว่างศรัทธา กับ งมงาย มันมีเส้นแบ่ง พรมแดนกันแค่ไหน แล้วใครจะเป็นคนบอก ว่ามันคืออะไรกันแน่ แค่นี้ก่อนแล้วเราลองมา สนทนาธรรมกันว่าคำตอบที่เรียบง่ายและชัดเจน เป็นเช่นไรนะครับ

By : พยนต์ ( 2008-03-30 13:44:10 )
 

ความคิดเห็นที่3  

ผมมาปูเสื่อ .. ตั้งวงเหล้า พร้อมกับแกล้ม รอฟังคนถกกัน .. .. เพราะคิดว่า หัวข้อน่าสนใจคงจะได้ฟังอะไรดีๆ จะเรียกว่า ศรัทธาก็ได้มั้ง แต่ไม่ได้เข้ามา เพราะเห็นว่า ชื่อ วรากร หรือ พยนต์ เพราะไม่ได้งมงาย

By : เกียรติ ( 2008-03-30 13:44:10 )
 

ความคิดเห็นที่4  

มีพจนานุกรม ของท่าน มรว.คึกฤทธิ์ มาฝาก กรรมฐาน น. วิธีหากินของวัดที่เผาผีไม่ได้ จำพรรษา ก.ติดคุกในผ้าเหลือง จีวร น.ผ้าห่ม ซึ่งถ้าใช้ให้เป็นแล้ว ก็หาสตางค์ได้มาก ฌาปนกิจ ก. ใส่ไฟให้เสียคนไปเลย ถือศีล ก. เสี่ยงนรก นิพพาน น. ตัณหาของผู้นั่งวิปัสสนา

By : มือถือสากปากถือศีล ( 2008-03-30 13:44:10 )
 

ความคิดเห็นที่5  

งมงาย :ไม่รู้เท่า, ไม่เข้าใจ, เซ่อเซอะ, หลงเชื่อโดยไม่มีเหตุผล หรือโดยไม่ยอมรับฟังผู้อื่น ศรัทธา: ความเชื่อ, ความเชื่อถือ; ความเชื่อมั่นในสิ่งที่ดีงาม ค้นหาได้จาก http://84000.org/tipitaka/dic/ ขอให้เพื่อนเจริญในธรรม

By : วรากร ( 2008-03-30 13:44:10 )
 

ความคิดเห็นที่6  

ผม รักพงศ์ ผู้เขียนกระทู้ "คุยกันฉันท์ธรรม" ข้างต้นเองครับ ผมเป็นสวนกุหลาบรุ่น 109 ครับ รหัส 31077 ครับ

By : รักพงศ์   ( 2008-06-20 20:47:45 )
 

จำนวนผู้เข้าชมเว็บทั้งหมด 247066 คน

ชมรมศิษย์เก่าสวนกุหลาบวิทยาลัย รุ่นที่ 96 100/397-398 หมู่บ้านมณียา ถ.รัตนาธิเบศธ์ ซ.ท่าอิฐ ต.ไทรม้า อ.เมือง จ.นนทบุรี 11000
ติดต่อท่านประธาน > kematat.p@hotmail.com ติดต่อเว็บมาสเตอร์ >webmaster.osk@gmail.com
Produced By Permpoon C. and Powered by: StartUp Design and Network Co.,Ltd.