|
|
|
หัวข้อ :หลวงพ่อกล้วย วัดป่าธรรมอุทธยาน ขอนแก่น [ No. 671 ] |
|
รายละเอียด :
ขออนุญาตินำคำเทศนาของหลวงพ่อกล้วยมาแยกขั้นตอนการปฎิบัติ คัดมาจากการเทศนาวันที่ 6-8-9 ตค.50
การปฎิบัติหลวงพ่อบอกว่าไม่ได้เรียงลำดับ เจออะไรก่อนก็ปฎิบัติก่อน ส่วนใหญ่ ก็จะแยกจิต สติ ความคิด จนเห็นอาการเกิดของจิตเข้าไปร่วมกับความคิด นอกนั้นก็จะมาไม่เหมือนกันแล้วแต่การสั่งสมบุญมา
1 ถ้าใจของเรายังนึกคิดปรุงแต่งอยู่ เราก็พยายามหยุดดับความกังวล ดับความฟุ้งซ่านต่างๆออกไปให้หมด ลองสูดลมหายใจเข้าไปยาวๆลึกๆให้ทั่วท้องแล้วก็ผ่อนออกมายาวๆสัก ๒-๓เที่ยว กายของเราก็รู้สึกว่าสบายขึ้น ใจของเราก็สงบนิ่งขึ้น ความรู้สึกสัมผัสของลมหายใจที่วิ่งเข้าวิ่งออกกระทบปลายจมูกของ เรา นี้แหละให้เราสร้างความรู้สึกตัวตรงนี้ตั้งแต่ตื่นขึ้นมา
ช่วงใหม่ๆสติไม่มี ความรู้ตัวไม่มีเราต้องสร้างขึ้นมา จิตไม่สงบเราก็พยายามทำจิตของเราให้สงบ จิตเกิดกิเลสเราก็พยายามละกิเลส ขันธ์ห้าเข้ามาเราก็ตามทำความเข้าใจให้รู้ความจริงแล้วก็ละเสีย นิวรณ์ธรรมต่างๆเราก็ทำความเข้าใจแล้วก็ละเสีย ต่อไปข้างหน้าเขาก็จะรักษาเราเองนั่นแหละ ยืน เดิน นั่ง นอน ก็จะเป็นแต่เพียงอิริยาบถ ทำไปเรื่อยๆ แต่อย่าให้ขาด อย่าให้พลั้งเผลอสติ อย่าให้คลาดสายตาของสติปัญญาของเราไปได้ จนเป็นอัตโนมัติจนไม่ได้ฝึก ยืน เดิน นั่ง นอน จิตของเราก็จะอยู่ในความว่างความบริสุทธิ์ รับรู้อยู่ในกายของเรา ถ้าเราสร้างความว่าง จิตว่างจากการเกิด ว่างจากความยึดมั่นถือมั่น ว่างจากกิเลส เขาก็จะอยู่ในความว่าง ความว่างนั่นแหละคือวิหารธรรมคือเครื่องอยู่ของจิต
2 ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเราได้สร้างความรู้ตัว หรือว่าได้เจริญสติให้ต่อเนื่องกันแล้วหรือยัง พยามฝึกฝนให้เกิดความเคยชิน ทุกอิริยาบถพอรู้ตัวปุ๊บ เราก็พยายามสร้างความรู้สึกตัว สติก็ตั้งมั่นขึ้นอยู่กับปัจจุบัน นิวรณ์ความเกียจคร้านก็คลายลงไป สติของเราก็ตั้งมั่นขึ้น รู้เท่าทันกาย รู้เท่าทันจิต จะทำอะไรจิตของเราก็ยังปกติอยู่ สติก็จะพากายลุก ยืน เดิน นั่ง นอน ทำกิจวัตรประจำวันของเรา จิตก็นิ่งอยู่ในสมาธิอยู่ เราต้องรู้จักทำความเข้าใจทุกอิริยาบถ
3 การเจริญสติ ลักษณะของสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร ไม่ใช่ว่าเราจะไปนึกไปคิดเอาว่าจะเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ มาทำความเข้าใจกับภาษาธรรมภาษาโลก ภาษาธรรมภาษาโลกสักแต่ว่าดู สักแต่ว่ารู้ สักแต่ว่าฟังเป็นลักษณะอย่างไร ความหมายเป็นอย่างไร การเจริญสติที่ต่อเนื่องกันเป็นอย่างไร การควบคุมจิตของเรา เราควบคุมจิตของเราได้ระดับไหน ลักษณะของจิตที่สงบ ลักษณะของจิตที่ปกติเป็นอย่างไร เวลาจิตเกิดอาการ หรือจิตส่งออกไปข้างนอกเป็นลักษณะอย่างไร เวลาความคิดผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต หรือว่าอาการของขันธ์๕ผุดขึ้นมาปรุงแต่งจิต เขาเริ่มก่อตัวอย่างไร จิตของเราจะเคลื่อนเข้าไปรวมกับความคิด ในลักษณะอย่างไร ถ้ากำลังสติหรือว่าความรู้สึกตัวของเราต่อเนื่อง เราก็จะรู้เท่าทันถ้าเรารู้ไม่เท่าทันเราก็รู้จักควบคุมเอาไว้ ควบคุมกาย ควบคุมวาจา แล้วก็ควบคุมจิตควบคุมอารมณ์ ถ้าเราหมั่นสังเกต หมั่นควบคุมหมั่นวิเคราะห์อยู่อย่างนี้อยู่บ่อยๆอยู่เนืองๆเราก ็จะเห็นชัดเจน รู้จิตชัดเจน รู้ความคิดชัดเจน
4 ถ้าเราแยกรูปแยกนามได้เมื่อไหร่ เราตามทำความเข้าใจ เราก็จะรอบรู้ในกองสังขาร รอบรู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในขันธ์๕ นี่แหละเขาเรียกว่ารอบรู้ในโลก โลกภายในของเรา ส่วนมากเราจะไปรอบรู้ตั้งแต่โลกภายนอก โลกธรรมภายนอก ซึ่งจิตก็ส่งออกไปภายนอกตลอดเวลา ในหลักธรรมนั้นท่านให้จิตรับรู้ ชำระสะสางกิเลสออกจากใจของเรา ตามสภาวะเดิมจิตของทุกคนนั้นสะอาด ไม่มีกิเลส กิเลสนี้มีมาทีหลัง เพราะว่าโมหะความหลง ความไม่รู้ ไม่รู้ว่ากี่ภพ กี่ชาติ กี่กัป กี่กัลป์ ที่หลงวนเวียนว่ายตายเกิดอยู่นี้
5 เรารู้ไม่ทันการเกิดการดับของจิต การเกิดการดับของขันธ์๕ เราก็ใช้สมถะเข้าไปดับ เริ่มใหม่ เริ่มสังเกตตัวใหม่ที่จะเข้ามา สังเกตไม่ทันเราก็รู้จักดับ รู้จักควบคุมเอาไว้จนกว่าจะแยกได้เมื่อไหร่นั้นแหละ สัมมาทิฐิความรู้แจ้งเห็นจริงก็จะเปิดทางให้ พอเปิดทางให้เมื่อไหร่ กำลังสติของเราก็ต้องตามทำความเข้าใจทุกวิถีทาง ถ้าเราไปปล่อยประละเลยเขาก็จะซึมสู่สภาพเดิมอีกนั่นแหละ เราต้องพยามสร้างความเป็นกลางคือความว่างให้มีให้เกิดขึ้นในกาย ในใจของเรา ความว่างความเป็นกลางนั้นแหละคือองค์ธรรม นั้นแหละคือทางเครื่องตัดสินไม่เข้าข้างตัวเองไม่เข้าข้างคนอื่ น เราก็จะมองเห็นความถูกต้อง
7 เราต้องทำความเข้าใจกับวิบากกรรมเสีย กรรม อาการของขันธ์ห้านั้นแหละคือตัวกรรม มาปรุงแต่งจิตของเราให้ได้หลงอยู่หมุนเป็นวงกลมอยู่ถ้าเราแยกได ้เมื่อไหร่ เราก็ตัดวงกลม เหมือนกับไปตัดวงกลม ตามทำความเข้าใจแล้วก็ละกรรม กรรมเก่าก็ตามไม่ทัน กรรมใหม่กรรมอยู่ปัจจุบันคือการกระทำ เราก็สร้างแต่กุศลกรรม สูงขึ้นไปเราก็ไม่ยึด สร้างขึ้นเพื่อให้เกิดประโยชน์ เราก็จะอยู่เหนือกรรม เหนือบุญ เหนือบาป ละอกุศล เจริญกุศลแต่ไม่ยึด เราก็จะอยู่กับบุญตลอดเวลา กายก็เป็นบุญ วาจาก็เป็นบุญใจก็เป็นบุญ อยู่ที่ไหนก็เป็นบุญ ถ้าใจของเราเป็นบุญแล้ว รู้จักสร้างอานิสงส์ สร้างตบะบารมี ให้แก่กล้า ศรัทธาของเราเต็มเปี่ยม ความขยันหมั่นเพียรของเราเต็มเปี่ยม มีสัจจะกับตัวเราเอง ไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น มองโลกในทางที่ดี คิดดี ขยันหมั่นเพียร ทั้งภาระหน้าที่สมมติต่างๆ
8 ถ้าจิตของเรารู้เห็นตามความเป็นจริงแล้ว เขาไม่เอาหรอกทุกข์ แม้ตั้งแต่การเกิดเขาก็ไม่เอา จิตส่งออกไปข้างนอก เขาเรียกว่าจิตเกิด มันก็จะเข้าสู่หลักของอริยสัจสมุทัย นิโรธการดับการทำความเข้าใจด้วยสติด้วยปัญญา มรรคก็จะตามมา
9 ถึงจิตจะหลุดพ้นถึงจิตจะไม่ยึดถือมั่นเราก็พยายามสร้างบุญสร้าง กุศลเอาไว้เพื่อให้เกิดประโยชน์ ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ประโยชน์ในโลกนี้ แล้วก็ประโยชน์ในโลกหน้า เอาประโยชน์ในโลกปัจจุบันให้ได้เสียก่อน เราทำปัจจุบันมาดีอนาคตก็จะออกมาดี ถ้าเราอยากจะรู้ตัวเราดี เราก็พยายามสำรวจดูอดีตว่าเราทำอะไรก็จะส่งผลถึงปัจจุบัน ปัจจุบันเราทำอย่างไรก็จะส่งผลถึงอนาคต พยายามละอกุศล แล้วก็เจริญกุศลให้มากๆให้ได้ครบทุกอย่างทั้งการเจริญสติ การเจริญสมาธิ การรักษาศีล การทำความเข้าใจ เรารักษาศีลไปเพื่ออะไร เราเจริญสติ เจริญสมาธิไปเพื่ออะไร จุดมุ่งหมายของการสำรวจ การชำระสะสางกิเลส เราก็จะถึง เมื่อเราถึงแล้วเราก็จะรู้เอง ไม่มีใครประกาศให้หรอก เพราะเรานั่นแหละประกาศเอง เห็นเอง รู้เอง ทำความเข้าใจได้เอง
บางคนก็ยังแยกรูปแยกนามไม่ได้ แต่จิตก็ปล่อยวางได้ อาจจะยังไม่รอบรู้ในกองสังขารตรงนี้ จิตก็ปล่อยวาง จิตไม่มีความโลภ ไม่มีความโกรธ แล้วก็ไม่มีความหลง แต่ว่าเราอาจจะไม่เห็น เห็นการเกิดการดับของความคิดของอารมณ์ อันนี้ก็คลายทุกข์ได้ในระดับหนึ่ง ดับความทุกข์ได้ระดับหนึ่ง
ดูคำสอนทั้งหมดได้ที่
http://www.managerroom.com/forums/forum_topics.asp?FID=16
By : วรากร
( IP : 203.113.34.xxx )
(Read 663 | Answer 0 2007-10-20 06:34:12 )
|
|
|
|
|
|
|
|
|