|
|
|
หัวข้อ :" เรียนง่าย ๆ สบาย ๆ ก็เป็นที่ 1 ได้ " [ No. 701 ] |
|
รายละเอียด :
" เรียนง่าย ๆ สบาย ๆ ก็เป็นที่ 1 ได้ "
จากเด็กเกเรที่สุด ....สู่อัจฉริยะของโลก
.......บทความต่อไปนี้เป็นการอ้างอิงจากหนังสือ "วิทยาศาสตร์ของการฝึกจิต" ซึ่งปรัชญาเมธีชาวไทย "ดร. อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา" ท่านได้นิพนธ์ไว้ตั้งแต่ปี 2533 สาระสำคัญของหนังสือนี้คือการปฏิบัติตนเพื่อพัฒนาพลังทางปัญญาและความคิด โดยการทำสมาธิ ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่า สามารถส่งผลแก่ผู้ปฏิบัติได้อย่างแท้จริง
......อาจารย์ยังได้กล่าวถึงประโยชน์ของการฝึกสมาธิไว้ดังนี้ ...." เมื่อก่อนเรียนมัธยมต้น .....ผมสอบได้ที่โหล่ทุกวิชา ...เพราะว่าไม่ค่อยสนใจอะไร ไม่ค่อยมีสมาธิในการเรียน ชอบชกชอบต่อย .....แต่หลังจากได้ฝึกสมาธิมาระยะหนึ่ง ปรากฏว่าความจำดีมาก มีสมาธิในการเรียนมากขึ้น เวลาครูสอนอะไรเราจำได้ และสอบได้ดีขึ้น ปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่นาน ......เริ่มสอบได้ที่หนึ่งทุกวิชา จากที่โหล่มาเป็นที่หนึ่งเลย และจาดเด็กที่เต็มไปด้วยความรุนแรง ความโกรธ ความโมโห ตอนนี้กลายเป็นเด็กที่ยิ่มตลอดเวลา เดินไปเดินมาก็ยิ้มให้คนโน้นคนนี้ ใครจะมายั่วอย่างไร ใครจะมาด่า ใครจะมาว่าตอนนี้ไม่สนใจแล้ว ได้แต่ยิ้ม เราไม่โกรธ เราไม่โมโหใคร เริ่มควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ดีมากขึ้น"
ที่มา : http://www.bbltour.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=395432
บทสัมภาษณ์ของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา
- อาจารย์สนใจเรื่องสมาธิมาตั้งแต่ก่อนจะไปทำงานตรงนั้นหรือเปล่า
.....ผมเริ่มฝึกปฏิบัติตั้งแต่อายุ 15 ปี ตอนนั้นศึกษาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เป็นโรงเรียนประจำแล้วก็ฝึกมาเรื่อยๆ จนถึงทุกวันนี้
- ทำไมถึงได้สนใจเรื่องสมาธิ
....เหตุที่เป็นแรงจูงใจก็เพราะว่าช่วงมัธยมต้น ผมเป็นเด็กเกเรพอสมควร ชอบชก ชอบต่อย ชอบอาละวาดเป็นคนที่อารมณ์รุนแรง แล้วมันเกิดเหตุการณ์ที่ค่อนข้างจะมหัศจรรย์กับตัวเอง คือ นอนอยู่ในห้องนอนรวมเป็นหอพักของนักเรียน อยู่กัน 50 คน อยู่ๆ วันหนึ่งก็ตกใจตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะเหมือนกับมีเสียงคุยกับผมอยู่ เสียงนั้นแค่เรียกชื่อผม 3 ครั้ง ? อาจอง อาจอง อาจอง? ทำไมถึงทำอย่างนี้ ตั้งคำถามไว้ให้กับผม
ผมก็มานั่งคิด ตอนแรกก็ตกใจนึกว่าเป็นผีมาหลอก ก็ไม่สนใจ นอนหลับไปพร้อมกับเสียงนั้นมันจะมีแสงสว่างอยู่รอบๆ บริเวณนั้นด้วย ผมมองซ้าย มองขวา ดูเพื่อนทุกคนก็นอนหลับไม่มีใครได้ยินอะไร และมันก็เกิดขึ้นสามคืนติดต่อกันคืนที่สามก็เลยต้องมานั่งคิดใหญ่เลยว่า เอ..มันเรื่องอะไร คิดไปคิดมาอาจเป็นการเตือนตัวเราเองว่า สิ่งที่เราทำมันไม่ถูกต้อง ก็เลยหาทางออก พยายามคิดว่าเราจะปรับปรุงตัวอย่างไร
ตอนแรกไม่รู้จะไปปรึกษาหารือกับใคร เลยไปปรึกษากับนักบวชในศาสนาคริสต์ ท่านก็บอกว่าให้ไปสวดมนต์ภาวนาเข้าโบสถ์ด้วยกัน ผมก็เข้าไป แต่แล้วท่านก็ไม่ได้ให้คำตอบอะไรกับผม ท่านบอกว่าต้องไปศึกษาพระคัมภีร์ต่อผมก็ไปศึกษาพระคัมภีร์
จนกระทั่งวันหนึ่งท่านสอนเกี่ยวกับเรื่องการสวดมนต์ท่านบอกว่าเมื่อสวดมนต์จะต้องมาพร้อมกันเปร่งเสียงดังพร้อมกัน เข้ามาอยู่ในโบสถ์พร้อมกัน ผมเถียงท่านบอกว่า ไม่จำเป็น เราสวดมนต์ในมุมเงียบๆในห้องของเราก็ได้ ไม่จำเป็นต้องไปสวดในโบสถ์ อันนี้ท่านโกรธมากเลย ไล่ผมออกจากห้อง ผมก็เสียใจมาก
ก็พยายามคิดว่าจะทำยังไง เลยไปเข้าห้องสมุด แล้วบอกตัวเองว่าเราเกิดมาเป็นชาวพุทธ น่าจะมีอะไรดีๆ ทางพุทธศาสนา ก็เลยไปค้นหนังสือเจอบทความเกี่ยวกับการฝึกสมาธิ พออ่านแล้วมันประทับใจมาก ก็เลยเริ่มฝึกตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา พอฝึกไปได้เดือนหนึ่งมันรู้สึกสงบ สบาย อารมณ์โกรธ โมโหอะไรก็ค่อยๆ หายไป เลยฝึกต่อ พอฝึกไปได้ปีหนึ่ง ก่อนหน้านั้นเรียนหนังสือไม่ค่อยได้ดี ปรากฏว่าความจำดีขึ้น การเรียนดีขึ้น พอสอบปีถัดมาก็สอบได้ที่ 1 ของทุกวิชา จากนั้นชีวิตก็เปลี่ยนเป็นคนใจเย็น ความรู้เกิดขึ้น
บางครั้งเราเรียนหนังสือก็ไม่ต้องเรียนหนัก ความจำดีขึ้น ได้รับรางวัลจากประเทศอังกฤษเยอะแยะไปหมด ได้รับรางวัลจากนายกรัฐมนตรีของประเทศอังกฤษด้วย ทางด้านวิทยาศาสตร์และทางด้านศาสนา นี่คือการทำควบคู่กันไปทั้งสองอย่างพร้อมกัน
- แต่คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่าวิทยาศาสตร์กับศาสนาเป็นคนละเรื่องกัน?
.....ผมมองดูตัวเองย้อนหลังกลับไป จริงๆ วิทยาศาสตร์กับศาสนาไม่แตกต่างกัน ทั้งสองอย่างพยายามแสวงหาความจริง แต่วิทยาศาสตร์มุ่งไปในสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวเรา แต่ศาสนามุ่งเข้าไปในตัวเรา ฉะนั้น อันหนึ่งเป็นเรื่องภายใน อีกอันเป็นเรื่องภายนอกสองอย่างมาประกอบกันก็ทำให้เกิดความเข้าใจที่สมบูรณ์แบบ
ดูใน
http://www.212cafe.com/boardvip/view.php?user=sumscm&id=13
http://webboard.mthai.com/7/2006-03-10/207809.html
http://yaguza.wordpress.com/interview-with-dr-artong/
12 ธ.ค. 50 / 07:33 คนเรียนได้ที่หนึ่ง : [ protect email from spamware ]
view 75 : discuss 6 : rating - : bookmarked 0 : vote 0 202.28.111.17<=172.16.172.236
#1# - 365977 [icon-addtodelete : 101 bytes]
กระบวนการพัฒนาสมองแบบอเมริกัน
...การนั่งสมาธิ กลายเป็นหัวข้อวิชาในหลักสูตรโรงเรียนนายร้อยเวสต์พอยต์ กลายเป็นส่วนหนึ่งของข้อแนะนำของฟิลแจ็คสัน โค้ชทีมแอลเอ.เลเกอร์ส ส่วนที่มหาวิทยาลัยมหาริชชี (หรือมหาฤาษี) ในเมืองแฟร์ฟิลด์ รัฐไอโอวา นักเรียน นักศึกษาของที่นี่ จะนั่งสมาธิร่วมกันทุกวันๆๆ ละ ๒ ครั้ง ขณะที่ศูนย์ชัมบาลา เมาน์เทน ในโคโลราโด ซึ่งดูเหมือนสถานกาสิโนในสไตล์ทิเบต มีคนมาใช้บริการเพิ่มขึ้นจาก ๑,๓๔๒ คน ในปี ๒๕๔๑ เป็น ๑๕,๐๐๐ คน ในปีนี้
ดารา นักการเมือง และผู้มีชื่อเสียงจำนวนมากในอเมริกาหันมานั่งสมาธิอย่างจริงจัง อาทิ โกลดี้ ฮอว์น ดาราสาวใหญ่ที่ยังสวยไม่สร่าง, ชาไนยา ทเวน นักร้องคันทรีสาวสวย, ฮีทเธอร์ แกรมห์ ดาราสาวหุ่นเซกซี่, ริชาร์ด เกียร์ นักแสดงมากฝีมือ และ อัล กอร์ อดีตรองประธานาธิบดี ซึ่งเกือบๆ จะได้เป็นประธานาธิบดี ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
ขณะที่การนั่งสมาธิกลายเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้น รูปแบบและวิธีการของมัน ก็ถูกทำให้เรียบง่าย และตัดส่วนที่เป็นเรื่องลี้ลับออกไปด้วย ทุกวันนี้ การนั่งสมาธิไม่จำเป็นต้องมีการจุดธูปเทียน หรือพิธีกรรมเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ แต่ยังคงส่วนที่เป็นแก่นสำคัญอยู่ คือ ความเชื่อที่ว่า การนั่งเงียบๆ เป็นเวลา ๑๐-๔๐ นาที โดยให้ใจจดจ่ออยู่กับรูปภาพ ถ้อยคำหรือแม้แต่ลมหายใจ จะทำให้คุณเกิดสมาธิที่อยู่กับภาวะปัจจุบัน โดยไม่วอกแวกไปกับอดีตที่ผ่านไปแล้วหรืออนาคตที่ยังมาไม่ถึง รวมทั้งทำให้คุณสามารถเข้าสู่สัจธรรมได้
.......ในปี ๒๕๑๐ ดร.เฮอร์เบิร์ท เบนสัน ศาสตราจารย์ด้านการแพทย์ จากฮาร์วาร์ด ใช้เครื่องมือแพทย์ ตรวจวัดการทำงานของร่างกาย ผู้นั่งสมาธิ ๓๖ คน พบว่าเมื่อคนเราอยู่ในภาวะสมาธิ ร่างกายจะใช้ออกซิเจนน้อยลง ๑๗% ขณะที่อัตราการเต้นของหัวใจจะลดลง จากภาวะปกตินาทีละ ๓ ครั้ง ขณะที่คลื่นสมอง "เธต้า" อันเป็นคลื่นสมองที่เกิดขึ้น ในภาวะหลับสนิท จะเพิ่มสูงขึ้น
เบนสัน สรุปว่า การนั่งสมาธิช่วยให้คนเรามีจิตใจที่สงบขึ้น และมีความสุขมากขึ้น
...."สิ่งที่ผมทำ" เบนสัน ระบุ "เป็นการอธิบายในทางวิทยาศาสตร์ ต่อเทคนิคที่คนเราได้เรียนรู้ และนำมาประยุกต์ใช้ ตั้งแต่เมื่อหลายพันปีที่แล้ว"
การศึกษาเรื่อง การนั่งสมาธ ิเริ่มเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ เมื่อเดือน มี.ค ๒๕๔๓ เมื่อองค์ทะไล ลามะ ผู้นำจิตวิญญาณแห่งธิเบต ได้พบปะพูดคุยกับนักจิตวิทยา และนักวิทยาศาสตร์ด้านระบบประสาท ที่ธรรมศาลา ประเทศอินเดีย ซึ่งพระองค์เสนอให้มีการศึกษาเรื่อง ภาวะสมาธิ โดยใช้เทคโนโลยีชั้นสูง ในการตรวจวัดคลื่นสมอง ซึ่งจะมีการหารือผลของการศึกษานี้ ในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้
สิ่งหนึ่งที่วงการวิทยาศาสตร์ได้เรียนรู้ ก็คือการปฏิบัติสมาธิในระยะหนึ่ง จะทำให้ระบบประสาทในสมอง ปรับตัวให้เข้ากับกิจกรรมในสมองส่วนตัว ซึ่งเป็นสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับ การคิดโดยใช้เหตุผล การตระหนักรู้ และการควบคุมอารมณ์มากขึ้น
"การศึกษาวิจัยในช่วง ๓๐ ปีที่ผ่านมา ทำให้เราพบว่า การนั่งสมาธิ เป็นยารักษาอาการเครียดได้ชะงัดนัก" แดเนียล โกลแมน ผู้เขียนหนังสือ Destructive Emotions ซึ่งรวบรวมบทสนทนาระหว่างองค์ทะไล ลามะ กับคณะนักประสาทวิทยากล่าว "แต่ที่น่าตื่นเต้นกว่านั้น ก็คือ นั่งสมาธิ ยังช่วยปรับสภาพจิตใจและสมองได้อีกด้วย"
ทั้งนี้ ผลการวิจัย ซึ่งรวมถึงการใช้เทคโนโลยีที่ซับซ้อน พบว่า การนั่งสมาธิทำให้สมองกลับมาอยู่ในสภาพ "สด-ใหม่" รวมถึงขจัดอาการ "ปัญหาจราจรติดขัด" ในเส้นเลือด หรืออาการเส้นเลือดอุดตัน และที่สำคัญ ต้นทุนในการนั่งสมาธิ ซึ่งใช้เพียงแค่เบาะรองนั่งใบเดียว ก็ถูกกว่าการผ่าตัดใหญ่หลายเท่าตัว
"การนั่งสมาธิเป็นเหมือนการเติมน้ำมันให้กับสมอง" โรเบิร์ท เธอร์แมน ผู้อำนวยการสถาบันทิเบต เฮาส์ กล่าว "การนั่งสมาธิในแบบเอเซีย อาจเป็นวิธีที่เป็นธรรมชาติที่สุด"
"อีกอย่างที่ผมอยากจะเสนอ ก็คือเราควรแยกออกจากกัน ระหว่างการนั่งสมาธิกับการนับถือศาสนาพุทธ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า ไม่ว่าคุณจะนับถือศาสนาหรือความเชื่อแบบใด คุณก็สามารถนั่งสมาธิในแบบพุทธได้" เธอร์แมน กล่าว..
http://skyd.org/html/life-social/samadhi.html
สิทธพงศ์ อุรุวาทิน แปลและเรียบเรียงจาก นิตยสารไทม์ ฉบับ ๔ ส.ค.๒๕๔๖
จุดประกายสารคดี วันพฤหัสที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๔๖
กรุงเทพธุรกิจ : จุดประกาย หน้า ๓
12 ธ.ค. 50 / 07:37 สมาธิ
By : chang
( IP : 125.24.84.xxx )
(Read 1096 | Answer 0 2007-12-12 09:50:04 )
|
|
|
|
|
|
|
|
|